Sunday, September 2, 2012

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอบที่ ๗


ส่วน คยากัสสป ผู้น้องคนสุดท้องนั้นมีหมู่ศิษย์ ๒๐๐ คนเป็นบริวาร สร้างอาศรมสำนักอยู่ ณ คุ้มน้ำต่ำลงไปอีกไม่ไกลนัก เมื่อเห็นเครื่องบริขารชฎิลฤาษีผู้พี่ทั้งสองลอยตามแม่น้ำมา ก็คิดสงสัยเป็นกำลัง จึงพาบริวารฤาษีศิษย์ทั้งสองร้อย มาสู่สำนักนทีกัสสปถามไถ่เรื่องราวก็ได้ทราบความจริงว่า “การบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชฎิลนุ่งห่มหนังเสือสวมชฎานั้น แม้จะสำเร็จสิทธิโยคีมีฤทธิ์เดช แต่ก็ยังสู้ฤทธิ์เดชของพระภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ได้ ซึ่งเป็นทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพานได้อย่างถูกต้อง”

ด้วยเหตุนี้เอง คยาดาบส ผู้น้องคนสุดท้องก็บังเกิดศรัทธาความเลื่อมใส จึงพาบริวารทั้งสองร้อยคน เปลื้องบริขารชฎิลทิ้งลงสู่แม่น้ำเนรัญชลามหานทีจนหมดสิ้น แล้วดำเนินไปสู่สำนักพระบรมสาสดาทูลขออาราธนาอุปสมบท เป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
องค์พระศาสดาจึงประทาน “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ดุจเดียวกันกับเหล่าภิกษุผู้พี่ทั้งสอง แล

ลำดับนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จพุทธดำเนินพาเหล่าชฎิลฤาษีซึ่งบัดนี้ได้ อุปสมบทจนหมดสิ้นแล้วแต่ยังมิได้บรรลุธรรม ไปยังคยาสีสะประเทศ แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาบท อาทิตตปริยายสูตร ให้สดับ พอจบลงพระภิกษุสงฆ์จำนวนพันกว่ารูปนั้น ก็บรรลุพระอรหันต์จนหมดสิ้น

จากนั้นพระบรมศาสดาทรงพาเหล่าพระอรหันต์เจ้า เสด็จพุทธดำเนินมายังกรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จออกมาเฝ้า ผู้คนชาวพระนครต่างพากันแตกตื่นมาคอยดูกันอย่างเนืองแน่น พากันร้องตะโกนถามเซ็งแซ่ว่า “พระพุทธเจ้าเป็นศิษย์ของพระอุรุเวลากัสสป หรือพระอุรุเวลากัสสปเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้ากันแน่ ? ”

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุการณ์โกลาหลอลหม่านดังนี้ ก็มีพุทธประสงค์จะแสดงให้มหาชนได้รับทราบตามความเป็นจริง จึงมีพุทธวาจาตรัสถามพระอุรุเวลากัสสปต่อหน้ามหาชนทั้งหลายว่า “เหตุใดพระอุรุเวลากัสสปจึงละทิ้งลัทธิบูชาเพลิงของตนเสีย ? ”

ลำดับนั้นพระอุรุเวลากัสสป ได้สำเร็จอภิญญาฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วบรรลือสีหนาทประกาศก้องว่า “บัดนี้ข้าพเจ้ามีความเคารพเลื่อมใสในธรรมของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น” จากนั้นพระอุรุเวลากัสสปได้เหาะลงมาเพื่อทำประทักษิณ (เวียนขวาสามรอบ) แด่องค์พระบรมศาสดาแล้วก้มลงกราบแทบฝ่าพระบาท

มหาชนชาวกรุงราชคฤห์ได้สดับดังนั้นแล้ว เกิดอัศจรรย์ใจในพระเดชานุภาพของพระพุทธเจ้าที่สามารถเอาชนะพวกชฎิลฤาษีผู้มีฤทธิ์ได้ เห็นประจักษ์ถึงปานนี้ เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา มหาชนทั้งหลายจึงเงียบสงบลงฟังด้วยความเคารพในธรรม ปรากฎว่าพอสิ้นพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารและบริวาร ๑๑ ส่วน ณ ที่นั้นได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน บริวารอีกส่วนหนึ่งตั้งอยู่ในไตรสรณะคมน์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทูลเชิญเสด็จพระพุทธองค์ให้ประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ เพื่อเสวยภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ และกรุงราชคฤห์นี้เองเป็นแผ่นดินที่เกิดมีวัดอุบัตขึ้นเป็นแห่งแรกในบวรพุทธศาสนานามว่า “พระเวฬุวันมหาวิหาร” สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

จบแล้วครับหวังว่าคงได้ อรรถรสในการอ่านนะครับ ทุกคน

หากมีข้อมูลใดผิดพลาด อันจะเกิดเป็นโทษมีแก่พระพุทธศาสนา กระผมของดซึ่งโทษล่วงเิกินอันนั้น
เพื่อการสำรวมระวังใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในการต่อไป

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๖


“ถึงเวลาแล้ว ตถาคตจะทำให้โมฆะบุรุษอุรุเวลากัสสปสลดจิต คิดสังเวชสำนึกผิด ณ กาลบัดนี้” จึงมีพุทธฎีกา ตรัสแก่อุรุเวลากัสสปว่า “ดูกร ชฎิล ตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ ซ้ำข้อปฎิบัติและปฎิปทาของท่านที่จะเป็นไปเพื่อทางมรรคผลนิพพานก็มิได้มีเลย ไฉนท่านจึงถือตนถือตัวว่าเป็นพระอรหันต์เล่า เป็นการไม่สมควรยิ่งนัก”

พระพุทธวัจนะของพระพุทธองค์นี้เปรียบเหมือนไฟอันร้อนแรงละลายขี้ผึ้ง ทำให้อุรุเวลาสั่นสะท้านเหมือนพิษไข้จับ ตลอดระยะเวลาที่พระพุทธองค์ทรงมาโปรด ให้บังเกิดความละอายใจเหลือที่จะประมาณ สันดานดื้อด้านอวดดีหายไปหมดสิ้น เข่าอ่อนยวบล้มตัวซบศรีษะแทบพระยุคลบาท อย่างหมอบราบคาบแก้วกราบทูลว่า “แจ่มแจ้งจริงหนอพระพุทธเจ้าข้า เปรียบเหมือนบุคคลเปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ บอกทางแก่คนหลงทาง จุดประทีปในที่มืดด้วยคิดว่าผู้มีดวงตาจะพึงเห็นรูปได้ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระพุทธองค์”

พระบรมศาสดาสัพพัญญูเจ้าตรัสว่า “ตัวท่านเป็นชฎิลมหาฤาษีใหญ่ยิ่งเป็นประธานแก่หมู่ชฎิล ๕๐๐ ท่านจงบอกกล่าวประกาศให้ยินยอมพร้อมใจกันก่อน พระตถาคตจึงให้อุปสมบทได้” อุรุเวลากัสสปก็ถวายบังคม แล้วกลับมายังอาศรมสำนักประกาศให้ชฎิลฤาษีบริวารทราบว่า

“ทางปฎิบัติลัทธิบูชาเพลิงที่เราพร่ำสอนพวกท่านมานั้น มีการบำเพ็ญตบะทรมานตนเป็นประการต่างๆ ยังห่างไกลจากมรรคผลนิพพาน บัดนี้เราได้เล็งเห็นแล้วว่า การบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระมหาสมณะพุทธโคตมะเท่านั้นเป็นทางถูกต้อง จะนำพวกเราหลุดพ้นจากกิเลส บรรลุถึงศิวโมกข์พระนิพพานได้”

ชฎิลบริวารทั้งหลาย หากสันนิษฐานตามเหตุการณ์ดังกล่าวมา คงจะนิยมเลื่อมใสในพระพุทธองค์อยู่เงียบๆ มาหลายเพลาแล้วเพียงแต่ไม่กล้าพูด เพราะเกรงใจอุรุเวลากัสสปพระอาจารย์ใหญ่ ครั้นอุรุเวลากัสสปมาเปิดอกเสียเอง มีหรือจะไม่ชื่นชมยินดี จึงพร้อมใจกันปลดเปลื้องเครื่องทรงชฎิลฤาษีและบริขารเครื่องใช้อื่นๆ เครื่องบูชาเพลิง หนังเสือ ฯลฯ โยนทิ้งลงไปในแม่น้ำเนรัญชลา จากนั้นก็พากันมาสู่สำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซบศรีษะลงแทบฝ่าพระบาททูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ก็ทรงพระกรุณาโปรดประทานอุปสมบทด้วย “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ความว่า ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิดธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งกองทุกข์ให้สิ้นเถิด บัดนั้นเครื่อนุ่งห่มสบงจีวรก็เลื่อนลอยมาจากนภากาศ ตกลงเฉพาะหน้าท่ามกลางเหล่าภิกษุพุทธสาวกแล (สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ผู้เขียนเองพิมพ์มาถึงตอนนี้ให้รู้สึกมีปีติอิ่มใจยิ่งนัก)

ฝ่าย นทีกัสสป ผู้เป็นน้องคนกลาง ซึ่งตั้งอาศรมสำนักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเดียวกัน แต่อยู่ถัดลงมาอีกตำบลหนึ่ง ห่างไกลจากกันไม่มากนัก มีศิษย์ ๓๐๐ คนเป็นบริวาร ได้เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงของชฎิลฤาษีผู้พี่ ลอยเป็นแพตามสายน้ำมาก็ครุ่นคิดปริวิตกว่า “ชะรอยอันตรายจะมีแก่ดาบสฤาษีผู้พี่ของเราแล้วกระมัง”

นทีกัสสปจึงพาเหล่าชฎิลฤาษีลูกศิษย์ทั้งสามร้อย เดินทางมายังสำนักอาศรมอุรุเวลากัสสปแล้วถามคาดคั้นถึงสาเหตุ อุรุเวลากัสสปจึงได้อธิบายเหตุกาลทั้งปวงมาโดยลำดับจนฤาษีผู้น้องเข้าใจโดยแจ่มแจ้ง แล้วเกิดความเลื่อมใสจึงพาเหล่าบริวารทั้งสามร้อย สละทิ้งเครื่องบริขารชฎิลฤาษีลอยทิ้งน้ำจนหมดสิ้น จากนั้นก็พากันไปถวายบังคมอัญชลีทูลขอบรรพชาอุปสมบท องค์พระบรมศาสดาก็ประทานให้อุปสมบทด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” แบบเดียวกันกับเหล่าภิกษุ อุรุเวลากัสสป แล...

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๕


เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาได้ไปเสวยภัตตาหารของอุรุเวลากัสสป เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็กลับมายังราวป่าที่อาศัย ครั้นวันรุ่งขึ้นอุรุเวลากัสสปไปทูลเชิญนิมนต์ทำภัตกิจอีก พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ท่านจงไปเถิดตถาคตจะตามไปที่หลัง” เมื่ออุรุเวลากัสสปไปแล้ว พระบรมศาสดาจึงเหาะไปนำเอาผลลูกหว้าใหญ่ในป่าหิมพานต์ แล้วทรงเสด็จกลับมายังโรงเพลิงก่อน ที่อุรุเวลากัสสปจะมาถึง ครั้นอุรุเวลากัสสปมาถึงก็ประหลาดใจทูลถามว่า “พระมหาสมณะมาทางใดจึงมาถึงก่อน ? ”

พระพุทธองค์มีพระพุทธฎีกาตรัสบอกไปตามความเป็นจริง อุรุเวลากัสสปก็ดำริครุ่นคิดดุจครั้งก่อน ครั้นทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้วทรงเสด็จกลับราวป่า อันเป็นสถานที่สับปายะเจริญภาวนานุโยคตามเดิม

อยู่มาไม่นาน ครั้งนั้นชฎิลฤาษีลัทธิบูชาเพลิงสำนักอุรุเวลากัสสป พากันก่อไฟ แต่มิอาจผ่าฟืนใส่กองไฟได้ จึงพากันคิดว่า “เหตุทั้งหมดนี้เป็นเพราะฤทธิ์ของพระมหาสมณะกระทำให้เป็นไปแน่” พระพุทธองค์ทรงล่วงรู้วาระจิตของพวกชฎิลฤาษีจึงทรงพระเมตตาตรัสว่า “จงผ่าฟืนตามความปรารถนาเถิด” ชฎิลฤาษีทั้งห้าร้อย จึงผ่าฟืนออกได้โดยง่ายเป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก !

อยู่มาวันหนึ่ง ชฎิลฤาษีทั้งหลายปรารถนาจะบูชาเพลิงแต่ก่อไฟไม่ติด พากันคิดปริวิตกอีกว่า เหตุทั้งหมดนี้เป็นเพราะฤทธิ์ของพระมหาสมณะบันดาลให้เป็นไปแน่นอน เมื่อพระสัพพัญญูเจ้าทรงทราบวาระจิตแล้ว จึงมีพุทธฎีกาตรัสบอกว่า “ขอให้ก่อไฟบูชาเพลิงได้เถิด” ครั้งนั้นเพลิงก็ติดขึ้นทั้ง ๕๐๐ กองพร้อมกันนั้นแล!

ชฎิลฤาษีบูชาเพลิงสำเร็จแล้วจะดับเพลิง แต่เพลิงก็ไม่ดับจึงดำริคิดอีกเหมือนคราวก่อน พระพุทธองค์ทรงล่วงรู้ด้วยเจโตปริยญาณจึงมีพุทธฎีกาตรัสอนุญาตให้เพลิงดับ เพลิงก็ดับพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ กอง

ครั้งหนึ่งหมู่ชฎิลฤาษีทั้งหลายลงอาบน้ำ ดำผุดขึ้นลงในแม่น้ำเนรัญชลา สมเด็จพระโลกนาถมุนีผู้ทรงพระมหากรุณาได้ทรงเนรมิตเชิงกรานกองไฟ ๕๐๐ กอง มีไฟลุกโชติช่วงทุกกองเรียงรายไปตามริมฝั่ง เมื่อพวกชฎิลฤาษีขึ้นจากน้ำก็พากกันเข้าไปผิงไฟในเชิงกรานทั้ง ๕๐๐ นั้น

ในกาลวันหนึ่ง มหาเมฆฝนตั้งขึ้นนอกฤดูกาลบันดาลให้ห่าฝนตกลงมาอย่างหนักทั่วชมพูทวีป กระแสน้ำล้นฝั่งเนรัญชลานที ไหลหลากทั่วทุกสารทิศ ฝ่ายอุรุเวลากัสสปมีความปริวิตกว่า น้ำจะท่วมถึงป่าที่พักอาศัยของพระสมณะรูปงามมีฤทธิ์มากหรือไม่หนอ ? จึงลงเรือพาลูกศิษย์รีบไปดูโดยด่วน ก็เห็นเป็นอัศจรรย์ใจ ว่าน้ำนูนขึ้นเป็นกำแพงล้อมอยู่โดยรอบ แลเห็นพระบรมศาสดาเสด็จเดินจงกรมอยู่บนพื้นดินอันแห้งปราศจากน้ำ มีฝุ่นปลิวฟุ้งขึ้นเบื้องบน จึงร้องทูลถามว่า

“พระมหาสมณะสถิตอยู่ ณ ที่นี้หรือ ? ”
มีพุทธฎีกาตรัสว่า “ดูกร กัสสป ตถาคตอยู่ที่นี้” สิ้นพระสุรเสียงแล้วก็เสด็จเหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วลอยลงสู่เรือของอุรุเวลากัสสปมาปรากฎอยู่ ณ ที่เฉพาะหน้า ท่ามกลางเหล่าบริวารเป็นอันมากของชฎิลฤาษีนั้น ! แต่อุรุเวลากัสสปยังคงดำริคิดเช่นเดิมอีกว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์เป็นอันมากเห็นปานฉะนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราไปได้”

นับตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จจากป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน มายังอุรุเวลาประเทศประทับอยู่ถึง ๒ เดือน จนตราบเท่าถึงวันเพ็ญปุณณะมีนี้ ได้ทรงแสดงพระอิทธิปาฏิหาริย์ทรมานจิตใจอุรุเวลากัสสปต่างๆโดยอเนกปริยาย แต่อุรุเวลากัสสปก็ยังมีจิตอวดดื้อถือดีสันดานกระด้าง ถือตนถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษเป็นพระอรหันต์หาผู้เสมอเหมือนมิได้ จึงทรงพุทธดำริด้วยความเมตตาว่า...

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๔


ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระผู้พิชิตมารได้ทรงทราบความคิดวิตกกังวลของอุรุเวลากัสสปโดยตลอดด้วยเจโตปริยญาณ คือการล่วงรู้ว่าระจิตของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นรุ่งเช้าก็เสด็จหนีเหาะไปยังอุตรกุรูทวีป ทรงบิณฑบาตโปรดชาวอุตรกุรูทวีป ได้ภัตตาหารพอสมควรแล้ว ก็เสด็จเหาะมากระทำภัตกิจฉันภัตตาหารในบาตร ณ ริมฝั่ง สระอโนดาต ในหุบเขาใหญ่ป่าหิมพานต์อันสงัดวิเวกรื่นรมย์

เมื่อกระทำภัตกิจเสร็จแล้วก็เสด็จสรงสนาน (อาบน้ำ) ในสระอโนดาตเป็นที่ชุ่มชื่นสำราญพระหฤทัยยิ่งนัก แล้วทรงเดินจงกรมเจริญพระอิริยาบถ จากนั้นทรงเจริญสมาธิธรรมผลสมาบัติเป็นสุขวิหารอยู่จนถึงเพลาสายัณห์ เมื่อตะวันบ่ายคล้อยต่ำลง จึงได้เสด็จเหาะกลับมายังราวป่าอันเป็นสำนักเจริญภาวนานุโยค ใกล้กับอาศรมของอุรุเวลากัสสปตามเดิม

เช้าวันรุ่งขึ้น อุรุเวลากัสสปไปอาราธนาเพื่อทำภัตกิจดุจวันก่อนๆแล้วทูลถามว่า “เมื่อวานนี้พระมหาสมณะไปแสวงภัตตาหาร ณ ที่ใดถึงไม่เห็นมาฉันเหมือนเช่นทุกวัน ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่” พระบรมศาสดามีพระพุทธฎีกาตรัสบอกถึงความในใจของอุรุเวลากัสสปที่มีความปริวิตก พระองค์จึงเสด็จเหาะหนีไปเที่ยวบิณฑบาตรยังอุตรกุรูทวีปเพื่อให้อุรุเวลากัสสปมีความสบายใจในลาภสักการะมหายันต์ของตน

อุรุเวลากัสสปได้ฟังพระดำรัสดังนั้น ก็ตกใจ! ดำริคิดเข้าข้างตนเองว่า “พระมหาสมณะผู้นี้มีอานุภาพยิ่งนัก ล่วงรู้วาระจิตของอาตมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา”

ในกาลครั้งนั้น มีเหตุให้ทรงเสด็จพระพุทธดำเนินไปชักผ้าบังสุกุลที่ห่อศพนางปุณณะทาสีในป่าช้าผีดิบ แล้วนำมาสู่ราวป่าที่ประทับ ทรงพุทธดำริว่า “เราจะซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ใดดีหนอ ? ” พระพุทธปริวิตกนี้เป็นที่ล่วงรู้ของ ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์ร้อนอาส) จึงเสด็จเหาะลงมาจากสวรรค์ขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ ด้วยฤทธานุภาพพื้นศิลาก็เต็มไปด้วยอุทกวารีอันใสสะอาด แล้วกราบทูลให้ทรงซักผ้าบังสุกุลในสระนั้น หลังจากพระพุทธองค์ทรงซักผ้าบังสุกุลเสร็จแล้ว จึงปรารภต่อไปอีกว่า “จะขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ใดดี ? ”

ท้าวสักกเทวราชก็น้อมเอาแผ่นศิลาใหญ่เข้าไปถวาย ทรงขยำผ้าบังสุกุลห่อศพด้วยพระหัตถ์จนหายกลิ่นเหม็นแล้ว ก็ทรงปรารภต่อไปอีกว่า “เราจะห้อยตากผ้าบังสุกุลจีวร ณ ที่แห่งใดดี ? ” ลำดับนั้นท่านพฤกษเทพยดาซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก ก็โน้มกิ่งก้านสาขาไม้กุ่มนั้นลงมาให้พระพุทธองค์ทรงห้อยตากจีวร ครั้นทรงตากผ้าบังสุกุลจีวรแห้งดีแล้ว ทรงพุทธจิตนาการต่อไปอีกว่า “จะพับผ้า ณ ที่ใดดี” ท้าวสักกเทวราชก็ยกแผ่นศิลาอันใหญ่มาทูลถวายให้แผ่พับผ้ามหาบังสุกุลจีวรบนแผ่นศิลานั้น

เมื่อถึงเพลาเช้าวันใหม่ อุรุเวลาก้สสปก็ไปทูลนิมนต์ให้มาทำภัตกิจเหมือนทุกวัน ครั้นพอได้เห็นสระโบกขรณีและแผ่นศิลาทั้งสองอัน มิเคยมีปรากฎในที่นั้นมาก่อน และไม้กุ่มบกโน้มกิ่งลงมาเรี่ยดินก็ประหลาดอัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงทูลถามพระบรมศาสดาถึงเหตุนั้น พระบรมโลกนาถเจ้าจึงมีพุทธฎีกาตรัสบอกความทั้งปวง อุรุเวลากัสสปได้ฟังดังนั้นก็ให้สดุ้งตกใจเป็นกำลัง แต่ยังฝืนข่มปลอบใจตนเองดำริในใจว่า “พระมหาสมณะนี้มีเดชานุภาพยิ่งนัก แม้แต่ท้าวโกสีย์สักกเทวาธิราชเจ้ายังมากระทำหน้าที่ไวยาวัจกร แต่ถึงกระนั้นพระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา”...

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๓


มากล่าวถึงอุรุเวลากัสสปกับพระบรมศาสดากันต่อไป
พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในโรงเพลิงแห่งนั้นจวบจนกระทั้งเวลาผ่านไปใกล้สนธยา จึงได้เสด็จออกจากโรงเพลิงไปยังป่าใหญ่ใกล้กับอาศรมของอุรุเวลากัสสป ทรงเลือกเอาบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่งเป็นที่สถิตย์เจริญกรรมฐานภาวนานุโยค

ครั้งล่วงเข้าสู่ราตรีสมัยเป็นลำดับ ท้าวจาตุโลกบาลมหาราชทั้ง ๔ ก็ลงจากสวรรค์มาเฝ้าพระบรมโลกนาถเจ้า ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ได้เปล่งพระรัศมีโอภาสสว่างไสวไปทั่วทั้งราวป่าพนาสณฑ์ ครั้นถึงเวลาเช้าอุรุเวลากัสสปได้ไปหาพระบรมศาสดาแล้วทูลว่า

“นิมนต์พระสมณะไปฉันภัตตาหารเถิด ข้าพเจ้าตกแต่งไว้ถวายเสร็จแล้ว แต่เมื่อคืนนี้เห็นพระรัศมีสว่างไสวไปทั่วราวป่าพนาสณฑ์มณฑลสถาน เป็นบุคคลผู้ใดฤา มาสู่สำนักนมัสการพระสมณะหนอ”

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสบอกว่า
“ท้าวจาตุมหาราชาทั้ง ๔ ลงมาสู่สำนักตถาคต เพื่อจะฟังพระสัทธรรม”
ครั้งนั้นแล อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษีผู้บูชาไฟเป็นสรณะ ได้สดับดังนั้นก็สดุ้งใจ ดำริคิดว่า “พระมหาสมณะองค์นี้มีอานุภาพมาก ท้าวจาตุโลกบาลทั้ง ๔ ยังลงมาสู่สำนัก แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระสมณะองค์นี้จะเป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมาก็หามิได้”

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาทำภัตกิจ (ฉันภัตตาหาร) ที่อาศรมของอุรุเวลากัสสปเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับราวป่าที่เดิมอันเป็นสถานเจริญสุขวิหารธรรม ครั้นราตรีกาลมาถึงอีก ท้าวโกสีย์สักกเทวราช (พระอินทร์) ก็ลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาถวายนมัสการแล้วยืนอยู่ข้างหนึ่งเปล่งรัสมีสว่างไสวดุจกองไฟใหญ่ อันไฟโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์ยิ่งกว่าราตรีก่อน (เหตุที่เทวดามเหศักดิ์ยืนถวายบังคมโดยไม่ยอมนั่งลงนั้น เป็นเพราะว่าถ้านั่งลงเมื่อใดก็จะเกิดสภาวะทิพย์ มีวิมานทิพย์มารองรับเมื่อนั้น จึงมิกล้านั้งลงเพราะเป็นการไม่สมควร)

ครั้นถึงเพลารุ่งเช้า อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษีผู้ชอบเกล้าผมมุ่นเป็นมวยขึ้นสูงคล้ายใส่ชฎา ก็เข้าไปหาพระพุทธองค์อีก เพื่อถวายภัตตาหารเหมือนเช่นเคย แล้วทูถามด้วยความสงสัยอีกว่า “เมื่อคืนนี้ผู้ใดมาสู่สำนักพระสมณะเจ้า จึงมีรัศมีสว่างไสวยิ่งกว่าคืนก่อน”

พระบรมศาสดามีพุทธฎีกาตรัสว่า “ท้าวโกสีย์สักกเทวราช ลงมาสู่สำนักตถาคตเพื่อฟังธรรม” อุรุเวลากัสสปได้สดับดังนั้นก็ดำริดุจคราวก่อน พระพุทธองค์ก็เสด็จไปเสวยภัตตาหารที่สำนักอาศรมชฎิลฤาษี แล้วทรงกลับมาสู่ป่าใหญ่ที่ประทับ

ครั้นราตรีกาลมาถึง ท้าวสหัมบดีมหาพรหม ก็ลงมาจากสวรรค์พรหมโลกมาถวายนมัสการสมเด็จพระบรมครู แล้วเปล่งรัศมีของพรหมสว่าไสวยิ่งขึ้นไปกว่าราตรีก่อนๆ ครั้นรุ่งเช้าอุรุเวลากัสสปก็ไปทูลอาราธนาฉันภัตตาหารตามปกติ แล้วทูลถามเหมือนวันก่อน พระพุทธองค์มีพุทธฎีกาตรัสตอบว่า “เมื่อคืนนี้ ท้าวสหัมบดีมหาพรหมลงมาสู่สำนักเรา เพื่อฟังธรรม” อุรุเวลากัสสปก็ดำริคิดเหมือนคราวก่อน หลังจากพระพุทธองค์เสด็จไปเสวยภัตตาหารเสร็จแล้วก็กลับคืนสู่สำนักในป่าตามเดิม

ในวันรุ่งขึ้นเป็น วันมหายันต์ คือเป็นวันที่ชนทั้งหลายจะมาทำบุญประเพณีนำเอาข้าวปลาอาหารเป็นอันมากมาถวายแก่ อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษี อุรุเวลากัสสปได้ครุ่นคิดแต่เมื่อคืนแล้วว่า “วันพรุ่งนี้ มหาชนจะนำเอาอาหารอันโอชะประณีตนานาชนิดมาสู่สำนักของเรา ถ้าพระมหาสมณะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้มหาชนได้เห็นเป็นมหัศจรรย์ ลาภสักการะทั้งหลายก็จะหลั่งไหลไปสู่เธอ ทำให้อาตมาเสื่อมสูญจากลาภสักการะเหล่านั้นเป็นแน่แท้ อาตมาจะทำอย่างไรหนอ ที่จะมิให้พระมหาสมณะออกจากราวป่ามาสู่สำนักเราได้ในวันพรุ่งนี้”...

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๒


พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๒

ฝ่ายพวกชฎิลฤาษีทั้วหลายได้เห็นเช่นนั้น ก็เข้าใจว่าเปลวเพลิงที่ลุกท่วมโรงเพลิงเป็นพิษของพญานาคพ่นไฟ ต่างก็พูดว่าพระมหาสมณะองค์นี้มีสิริรูปอันงามยิ่งนัก เสียดายจะมาวอดวายตายด้วยพิษพญานาคตนนี้ โดยหารู้ไม่ว่าที่แท้นั้นเป็นเปลวเพลิงกสิณไฟของพระพุทธองค์ ลุกไหม้พิษร้ายของพญานาคจนหมดสิ้นไป ทำให้พญานาคผู้มีมิจฉาทิฐิเป็นอันธพาลบังเกิดความสะท้านเกรงกลัวตั่วสั่นระรัว พยายามแข็งใจจะสู้อีกด้วยฤทธิ์แต่ก็สู้ไม่ไหว

พุทธานุภาพของพระพุทธเจ้านั้นย่อมเหนือกว่าฤทธานุภาพของ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ทั้งหลาย เพราะว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นบรมครูของเทพเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย (เทวดาในความหมายนี้ หมายถึงเทพเจ้าและพรหมทั้งหมด ดุจเดียวกับคำว่า “ญาณทัสสนะ” ในบางโอกาส พระอรรถกถาจารย์ท่านหมายเอา “อภิญญา ๖” ทั้งหมด)

พระพุทธองค์ทรงบันดาลด้วยอิทธิวิธีให้เดชานุภาพของพญานาค เสื่อมสูญไปหมดสิ้น ไร้ซึ่งพิษสงใดๆดุจเป็นงูดิน แล้วยังทรงบังคับให้พญานาคย่อกายอันใหญ่โตให้เล็กลงๆ เข้าไปขนดอยู่ในบาตร ของพระองค์อีกด้วย

ครั้งรุ่งเช้าอุรุเวลากัสสป ได้เห็นพระพุทธองค์ยังมีชีวิตอยู่ก็ตกตะลึง องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสกับอุรุเวลากัสสปว่า “นาคในบาตรนี้สิ้นฤทธิ์ด้วยเดชของพระตถาคต” อุรุเวลากัสสปได้เห็นแล้วก็เกิดความสะท้านใจ หวั่นไหวในอารมณ์ดำริในใจว่า “พระมหาสมณะนี้มีอานุภาพมากจริงหนอ สามารถระงับเสียซึ่งฤทธิ์พญานาคอันร้ากาจให้อันตรธานพ่ายแพ้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา (เรา) ได้” แต่ได้กล่าวออกมาว่า

“ข้าแต่พระมหาสมณะนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอยู่อาศัยในอาศรมนี้ต่อไปเถิด ข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหารให้ฉันทุกวัน”

สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงรับนิมนต์ด้วยพระอาการอันสงบ นี้เป็นแผนอุบายวิธีสยบอุรุเวลากัสสปให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ส่วนแผนขั้นต่อไปเป็นอย่างไรนั้นจักได้กล่าวถึงต่อไป แต่สำหรับตอนนี้เราท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนคงต้องยอมรับว่าพญานาคมีอยู่ในพระพุทธศาสนาจริง!

มีบางคนหรือหลายคนที่เรียกว่าพวกแก่วิชาเป็นปราชญ์คงแก่เรียน ได้กล่าวหาว่าพวกพระคันถรจนาจารย์ผู้แต่งตำนานพุทธประวัติเขียนเอาตามใจชอบของตน แต่งพุทธประวัติเป็นเทพนิยาย แต่ก็น่าประหลาดใจที่ว่า ถ้าพญานาคเป็นเรื่องไม่มีจริงแล้วไซร้ เหตุใดพระคันถรจนาจารย์องค์อื่นๆที่เป็นนักปราชญ์ จึงไม่แต่งตำราคำภีร์คัดค้านกัน เสียแต่ในยุคสมัยแรกๆ ไฉนจึงปล่อยให้คำภีร์ตำราที่พระพุทธเจ้าทรงเกี่ยวข้องกับพญานาค ดำรงค์อยู่ได้จนถึงบัดนี้?

คำตอบจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าพระคันถรจนาจารย์ท่านเขียนตำราคำภีร์มีสมมติฐานมาจากเรื่องจริง เกิดขึ้นจริงๆนั้นแล...

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๑


อ้างอิง พระนิพนธ์ของ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
ตอนที่ ๑
ในกาลครั้งนั้น ยังมีชฎิล ๓ คนพี่น้องเกิดในตระกูลกัสสป พี่คนโตมีนามว่า อุรุเวลากัสสป น้องคนที่ ๒ มีนามว่า นทีกัสสป น้องคนที่ ๓ มีนามว่า คยากัสสป อาศัยอยู่ในอุรุเวลาประเทศ ทั้งสามต่างก็มีสาวกบริวารคนละพวกแยกกันอยู่ห่างๆ เป็น ๓ ตำบล
อุรุเวลากัสสป ผู้เป็นพี่ใหญ่มีหมู่ศิษย์อยู่ ๕๐๐ คนสร้างสำนักอาศรมศาลาอยู่บริเวณต้นแม่น้ำเนรัญชลา
นทีกัสสป น้องคนที่ ๒ มีศิษย์อยู่ ๓๐๐ คนสร้างอาศรมสำนักอยู่แถบฝั่งทิศใต้ลงไป
คยากัสสป น้องคนสุดท้องมีศิษย์ ๒๐๐ คนสร้างบรรณศาลาอาศรมสถานอยู่ที่คุ้มแม่น้ำใต้ลงไปอีก
ลำดับนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังสำนักอาศรมของอุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษี ตรัสกับท่านเจ้าสำนักผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ยิ่งว่า “ดูกร กัสสป ผิว่าท่านมิได้หนักใจ ตถาคตจะขอพักอาศัยอยู่ในโรงเพลิง (เรือนไฟ) ของท่านสักราตรีหนึ่ง”

อุรุเวลากัสสป เจ้าสำนักตอบว่า “ดูกร มหาสมณะเรามิได้หนักใจที่ท่านจะมาขออาศัยอยู่ ณ ที่นั้นเลย แต่ทว่ามีพญานาคตนหนึ่งมีพิษร้ายกาจยิ่งนัก มาอาศัยอยู่ในโรงเพลิงนั้น ท่านจงระวังอย่าให้พญานาคตนนั้นทำอันตรายแก่ท่านได้”

สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า มีพุทธฎีกาตรัสว่า “พญานาคนั้นจักมิได้เบียดเบียนกระทำอันตรายแก่เราคถาคต ท่านจงอนุญาตให้ตถาคตได้อยู่อาศัยในโรงเพลิงสักราตรีหนึ่งเถิด”

อุรุเวลากัสสปเกรงว่ามหาสมณะเจ้าผู้มาเยือนจะได้รับภัยอันตรายจากพิษร้ายของพญานาค ก็นิ่งอึ้งไปไม่กล้าอนุญาตให้เข้าพัก พระพุทธองค์ได้ตรัสย้ำอีกอย่างนั้น ๒-๓ ครั้ง อุรุเวลากัสสปไม่มีทางเลือก จึงจำใจอนุญาตให้เข้าพักได้ตามพระอัธยาศัย

มีปราชญ์ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า อุรุเวลากัสสปคงจะมีวิชามนต์ปราบงูพิษ อันเป็นวิชาของพวกหมองูในชมพูทวีป เช่น “มนต์อาลัมพายนะ” เป็นต้น จึงสามารถเลี้ยงอสรพิษหรือพญานาคไว้ในโรงเพลิง เพื่อเสริมสร้างบารมีของตน

มนต์อาลัมพายนะ เป็นมนต์วิเศษของพญาครุฑ ได้ถวายให้แก่ฤาษีโกสิยโคตร และท่านฤาษีรูปนี้ก็ได้มอบประสิทธิ์ให้แก่พราหมณ์คนหนึ่ง พราหมณ์ผู้นี้แหละที่ใช้มนต์บทนี้จับเอาพญานาค มหาโพธิสัตว์เจ้าภูริทัต ไปแสดงให้คนดูชมหาเงินเข้ากระเป๋าตน (จากเรื่องพญานาคภูริทัตโพธิสัตว์เจ้า ทศชาติชาดก)

เมื่ออุรุเวลากัสสปอนุญาตแล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จเข้าไปในโรงเพลิงแห่งนั้น ปูลาดสันถัตที่นั้งแล้วทรงนั้งเจริญสมาธิตั้งพระกายให้ตรง ดำรงพระสติเฉพาะหน้าต่อบท กรรมฐานภาวนานุโยคด้วยพระอาการอันสงบสำรวมน่าเลื่อมใส

ฝ่ายพญานาคที่อาศัยอยู่ในโรงเพลิง เมื่อเห็นสมเด็จพระพุทธจอมมุนีนาถ เสด็จเข้ามาพำนักในสถานที่ของตน ก็เกิดความไม่พอใจขุ่นเคืองยิ่งนัก ว่าพระพุทธองค์มาเบียดเบียนที่อยู่อาศัยทำให้เราไม่มีอิสระเสรีในที่อยู่ จึงสำแดงฤทธิ์บังหวน (เข้าใจว่าจะใช้ลมหายใจพ่นพิษ) ให้พิษร้ายตลบอบอวลไปทั่วโรงเพลิง พิษร้ายกาจนี้สามารถย่อยสลายมนุษย์และสัตว์ให้กลายเป็นอากาศธาตุได้ในชั่วพริบตา !

ลำดับนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าก็ทรงเข้า “กสิณไฟ” หรือ “เตโชกสิณสมาบัติ” ประมวลเอาอิทธาภิสังขารฤทธิ์ บันดาลให้เกิดเปลวเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการ ลุกท่วมโลงเพลิงนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก...

พระศรีอาริย์ :พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


อาตมาขึ้นเครื่องบินผ่านภูอันธพาล ไม่อยากเรียกว่า "ภูพาน" ดังที่เขาเรียกกัน เพราะภูนี้มีแต่พวกอันธพาลทั้งนั้น ได้พิจารณา ถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและการสู้รบของทหารเห็นว่า เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ต้องตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ พระบาทสมเด็จ พระ เจ้าอยู่หัวก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่าง ยิ่ง ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา (วัดท่าซุง) และได้ตรัสถาม ความเป็นไป ของบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
อนาคตของชาติ อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า "ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่ง สมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป"
ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ
ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า


"กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติ ได้แล้ว จะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่" และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง
ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล
ความแม่นยำของคำทำนาย เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด
รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ
รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัย รวบรวมกัน เป็นการใหญ่
รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรมก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่ง พระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน
รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค ์ทรงยอมเสียแขนขา ดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระ ปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า "ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะ ต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย" ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่าง ให้บุคคลอื่น เห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑ จึงจำเป็น ต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก
รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อนพระองค์ จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวน มาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ ต้องจำพระทัย สละราช สมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์
รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้น แสนสา หัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น
สำหรับรัชกาลต่อไปคือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้วจะได้ประสบความ เจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?
ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า
ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?
เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่าน เป็นสมาธิ เข้า ถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้

ทุกๆ รูป ที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น
แต่ที่พยากรณ์ ไว้เพียงแค่นั้น ก็เพราะว่า

เริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทย จะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลาน ดังที่ แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก"

พญานาค กับความเชื่อของชาวอินเดีย


ชาวอินเดียนับถือพญานาคมาแล้วตั้งแต่สมัยดึดำบรรพ์ มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลจนได้ชื่อว่าเป็นทวีปหนึ่ง คือชมพูทวีป เป็นภูมิภาคศูนย์กลางลัทธิทางศาสนา มีมาก่อนศาสนาพุทธหลายพันปี มีวิทยาการหลากหลาย เป็นที่ชุมนุมแห่งนิยายปรัมปราและวรรณคดีตลอดถึงศิลปกรรมต่างๆ...

ดังนั้นเรื่องพญานาคที่ชาวอินเดียนับถือจึงน่าจะมีความจริง และขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องเกินความจริงอยู่ไม่น้อย สันนิษฐานว่าคงมีการเขียนเติมแต่งให้พิศดารมหัศจรรย์เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนอินเดียในสมัยนั้นนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น การบูชาเทวดาหรือเทพเจ้าผู้สร้างโลก และบูชาเทวดาประจำธาตุต่างๆ ตลอดจนถึงการบวงสรวงบูชายันต์ มีตั้งแต่การใช้สัตว์เลี้ยง ช้าง ม้า วัว ควาย หรือ แม้แต่มนุษย์ โดยบางหมู่บ้านเขาใช้เลือดหญิงสาวพรหมจรรย์ เพื่อบวงสรวงเทวสถาน ตามความเชื่อในท้องถิ่นนั้น...

ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูเรียกงูเห่าว่า "นาคา"หรือ นาค นับถือนาคมานานนับพันๆปี ก่อนสมัยพุทธกาล ในสมัยปัจจุบันนี้ก็ยังนับถือกันอยู่เป็นประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณ เรียกพิธีนี้ว่า "นครปัญจมี"โดยมีการเลี้ยงงูเห่าในเดือนกุมภาพันธ์ทุกปี...

และในเดือนกรกฎาคมก็มีพิธี "นาควิธานำ" โดยตกแต่งเครื่องบูชา มีขนมของกินและดอกไม้ธูปเทียนเพื่อสักการะบูชา "พญาเศษนาคราช" โดยพราหมณ์เจ้าพิธีจะเขียนรูปพญาเศษนาคราชมี 8 หาง เมื่อพิธีบูชาเริ่มขึ้นจะต้องปิดประตูพระราชวังตลอดถึงประตูบ้านเรือนทุกแห่ง วันประกบพิธีถือเอาวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 หรือในเดือนกรกฎาคม ซึ่งการบูชานี้จะมีผลทำให้ปลอดภัยจากพิษงูทั้งหลาย เพราะถือว่าพญาเศษนาคราชเป็นเทพเจ้าใหญ่เหนืองูทุกชนิด เมื่อคนใดเอ่ยชื่อพญาเศษนาคราชและได้ทำการบูชาพญาเศษนาคราชแล้ว จะทำให้บรรดางูทั้งหลายมีเมตตารักใคร่ไม่กล้าทำอันตราย เพราะขืนงูตัวใดกล้าทำอันตราย ก็จะถูกท่านพญาเศษนาคราชลงโทษเอา...

ตามตำนานโอปปาติกะกล่าวว่า พญาเศษนาคราชมีกายใหญ่โตมหึมา มีความยาวไม่สิ้นสุด มีศรีษะถึง 1,000 เป็นบัลลังก์ให้พระนารายณ์ประทับ พญาเศษนาคราชนี้เป็นตนเดียวกันกับ "อนันตนาคราช"และ "วาสกินาคราช" เป็นโอรสของท้าวกัศยปะและนางกัทรุ มีมเหสีชื่อ อนันตศรีษา มีมหานครเป็นเมืองอยู่ในบาดาล มีหน้าเป็นคนมีหางเป็นงู เป็นพวกกึ่งเทวดามีฤทธิ์มากแปลงกายได้ทุกอย่าง...

พญาเศษนาคราชนี้ได้แบ่งภาคอวตารติดตามพระนารายณ์อยู่เสมอ เมื่อพระนารายณ์อวตารเป็นพระราม พญาเศษนาคราชอวตารเป็นพระลักษณ์ เมื่อพระนารายณ์อวตารเป็นพระกฤษณะ พญาเศษนาคราชก็อวตาลเป็น พลราม...

เป็นที่น่าประหลาดว่าในเทศกาลบูชางูหรือนาคานี้ งูพิษจะออกจากที่ซ่อนมากินอาหารเครื่องเซ่นสังเวยอันมีน้ำนมสดและขนมต่างๆ นั้น จะมีความเชื่องไม่ดุร้ายเลย แม้แต่เด็กๆ ก็สามารถแตะต้องตัว เล่นกับงูได้โดยมันไม่กัด...

พวกฝรั่งที่ไปสังเกตุการณ์อธิบายว่า เหตุที่งูออกมากินเครื่องเซ่นสรวงบูชานั้น เป็นเรื่องของความเคยชิน เป็นสื่อสัมพันธ์ทางจิตที่มีมานานระหว่างคนผู้นับถือ กับงูจนเกิดความคุ้นเคยกันงูจึงไม่กัด.

Saturday, September 1, 2012

นิทานพญานาค "ที่เจดีย์ยุทธหัตถี"


ตอนหนึ่ง หลักศิลาจารึกกล่าวว่า "กูชนช้างกับเจ้าเมืองฉอด ชื่อขุนสามชนพ่ายไป" โดยเวลานั้นพ่อขุนรามคำแหงอายุได้ 19 พรรษา ได้ติดตามมาช่วยบิดาคือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ออกศึกชนช้างกับขุนสามชนพ่าย นับเวลาผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว

พอหลังจากการต่อสู้บนหลังช้าง แล้วก็มีการสร้างพระเจดีย์ไว้ เป็นอนุสรณ์สถานเรียกว่า "เจดีย์ยุทธหัตถี" เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แต่ไม่ปรากฎหลักฐานรายละเอียดอื่นใด ตั้งอยู่ที่วัดบรมธาตุ อ.บ้านตาก จ.ตาก สันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างในสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ประมาณปี พ.ศ. 2500 ปีนั้นได้เกิดพายุร้ายแรงพัดเอาฝนมาพร้อมกับลูกเห็บตก ประชาชนต้องตายนับร้อยชีวิต! แต่ข่าวสารสมัยนั้นยังไม่เหมือนสมัยนี้ การช่วยเหลือของทางราชการไม่มี อีกประการหนึ่งปีนั้นน้ำท่วมทั่วทุกแห่ง ทางเหนือเรียกกันว่า "น้ำนองหลวง"(น้ำท่วมใหญ่) หลวงตาอยู่ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ เล่าว่า...

ฝนตกหนักพายุพัดแรง 3 วัน 3 คืน สายฝนไม่มีขาดสาย กว่าจะเซาเบาลงไปก็แค่มองเห็นท้องฟ้าไม่เกิน 5 นาที มองไม่เห็นพื้นดินมีแต่น้ำเจิ่งนองมากขึ้นๆ ลานวัดก็เต็มไปด้วยผู้คน สัตว์เลี้ยง มีไก่ เป็ด หมา หมู วัว ควาย ลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้ระงม เหมือนว่ามีตลาดนัดก็ไม่ปาน

ค่ำคีนวันที่ 4 ของน้ำท่วมฝนตก สิ่งอัศจรรย์ที่คนไม่คิดมาก่อนก็เกิดขึ้น วันนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่าแล้ว เด็กเล็กเด็กโตผู้หญิง ผู้ชายหลับกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่อาตมากับอุบาสก 4-5 คนนั่งปรึกษาหารือกันว่า หลังจากน้ำลดแล้วจะทำอย่างไรกัน ? ถ้าน้ำไม่ลดจะทำอย่างไร ?

ขณะนั้นเองฟ้าร้องครืนๆ พร้อมกับมีประกายแสงเท่าลำตาลสีเขียวนวล ผ่าลงตรงหน้าวัดคือตรงเจดีย์ยุทธหัตถี พอเสียงฟ้าผ่าเงียบลง "คุณพระช่วย !" พญานาคตัวใหญ่เท่าต้นตาล 2 ตัวออกมาเล่นน้ำพ่นน้ำขึ้นฟ้า เลื้อยไปมาอย่างคึกคะนองอยู่กลางน้ำซึ่งกว่างเหมือนทะเลอย่างสนุกสนาน เห็นอยู่ประมาณ 10 นาที!

อุบาสกคนหนึ่งพูดว่า "น้ำคงจะแห้งยากมาก" หน้าโยมแต่ละคนซีดเผือดเหมือนไก่ต้ม ไม่มีใครกล้าคุยต่ออีก ได้แต่จ้องมองไปจุดเดียวกันกลางน้ำ หลวงตาอยู่มิได้ตอบว่าน้ำจะแห้งหรือไม่แห้ง มองหน้าโยมที่มาหารือด้วยสายตาคล้ายปฎิเสธ แต่ไม่มีเสียงพูดใดๆ

ฝนกับเสียงฟ้าร้องงวดแรกเบาลง พญานาคทั้งสองยังคงเล่นน้ำอย่างรื่นเริง สายฟ้าแลบมาอีกครั้งสว่างมากจนสังเกตุเห็นเกล็ดพญานาคชัดเจน เสียงเปรี้ยงฟาดลงมาอีกครังหนึ่ง เสียงผ่าคราวนี้ดังกว่าเก่าจนเด็กบางคนตกใจร้องไห้ดังลั่น แม่ต้องรีบโอบเข้ามาไว้กับอ้อมอก เด็กจึงเงียบเสียงไป

พอเสียงฟ้าผ่าเงียบเท่านั้นแหละ ก็มีเสียงเหมือนภูเขาถล่มทั้งลูก มีตัวอะไรไม่รู้ทะลึ่งพรวดออกมาจากถ้ำข้างเจดีย์ยุทธหัตถีใกล้กับสระบัวข้างเจดีย์นั้น ตัวใหญ่สีดำ ขนยาวลักษณะคล้ายคน ท่อนล่างมีเล็บมือแดง ส่วนท่อนหัวเหมือนควาย มีเขายาวโค้ง เขี้ยวแหลมคมยิ่งกว่าใบเลื่อย ตัวสูงเลยต้นตาล ใหญ่กว่านาค 2 ตัวเกือบ 4 เท่าวิ่งออกมากลางน้ำ สายตามองซ้ายขวาแล้วจ้องไปที่พญานาคทั้งสอง แล้วเหวี่ยงมือยักษ์ไปจับพญานาคมามือละข้าง ฟาดลงไปกับนำ้เสียงดังเปรี้ยงๆคล้ายอาฆาตพยาบาทกันมานับหมื่นนับพันปี

แต่งูนาคหายอมไม่ ! การต่อสู้เกิดขึ้นกลางน้ำลึกของท้องทุ่ง ผลัดกันจมนำ้ผลัดกันโผล่สลับกันไป อุบาสกที่กลัวก็กลายเป็นกองเชียร์แต่ไม่กล้าออกเสียง ยินเสียงนาฬิกาที่่กุฎีดังขึ้นสิบสองครั้งบอกเวลาเที่ยงคืนพอดี การต่อสู้ของสัตว์ประหลาดเริ่มล้าลง เจ้ามนุษย์หิงสาก็ได้ทีจับหัวพญานาคมากัดกร๊วบๆ สองครั้ง ขาดเป็นสี่ท่อน เลืือดสีแดงเต็มท้องน้ำ แล้วฝนก็ตกธรรมดา ลมพัดเอื่อยๆ ท่านผู้ชมก็หายตะลึง หลวงตาถามต่อว่า "เห็นหรือยังว่าน้ำจะแห้งหรือจะท่วม"พวกอุบาสกไม่มีใครตอบ หลวงตาอยู่ก็ตอบเองว่า

อาตมาว่าน้ำต้องแห้ง เพราะมีผู้มาช่วยแล้ว ถ้าขาดผู้ช่วยปล่อยให้พญานาคเล่นน้ำอย่างนี้ทุกวัน ปีหน้าโน่นแหละน้ำถึงจะแห้ง...วันต่อมาน้ำลดลงเรื่อยๆส่วนฝนก็หยุดตก ที่หลวงตาพูดเช่นนี้เพราะก่อนจะเกิดอาเพศขึ้น มีพวกไหนไม่ทราบสังกัด เป็นผู้ชายแต่งตัวชุดขาวไว้ผมจุกคล้ายพราหมณ์ มาทำพิธีเรียกผีอยู่ข้างเจดียย์แห่งนี้ ใช้มนต์ดำเรียกวิญญาณเพื่อบังคับเจ้าที่ให้นำ "เรือหงส์ทองคำมาให้" (ซึ่งงดงามมาก ส่วนมากจะลอยขึ้นมาเหนือสระบัวในวันพระสำคัญ หรือวันพระจันทร์เต็มดวง)

วันแรกพราหมณ์ผู้ละโมบเรียกแต่ยังไม่ขึ้น ต่อมาวันที่ 2 ต้องขึ้นแน่ๆ หลวงตาอยู่เห็นไม่ได้การแล้ว จึงบอกให้ผู้ใหญ่บ้านทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ชาวบ้านพร้อมใจกันขับไล่คณะผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ในคืนที่สองพอดี พธีของพราหมณ์แตกแล้วเหตุร้ายก็เกิดขึ้น

ในวาระต่อมา ประตูถ้ำข้างเจดีย์ก็ปิดสนิทตั้งแต่มหิงสามนุษย์ออกไป บริเวณพระเจดีย์มีของแปลกๆ มีดินปูดขึ้นมาคล้ายจอมปลวกแต่ไม่มีปลวก หลวงตาอยู่ได้สร้างกุฎิทับไว้ ว่ากันว่าเป็นสมบัติใต้ดิน อยากออกมาให้คนเห็น หรือเป็นการแสดงอิทธิฤิทธิ์อภินิหารประการใดก็ไม่ทราบแน่

อีกประการหนึ่ง ในสมัยก่อนนั้นถ้ำแห่งนี้มีประตูเปิดไว้เสมอ ใครมีงานบวชงานแต่งสามารถยืมถ้วยโถโอชาม ตลอดจนเครื่องแต่งกายเครื่องประดับมาใช้ได้ เมื่อเสร็จงานแล้วก็ซักล้างนำไปส่งคืน ไม่เห็นมีใครถือเอาเป็นสมบัติส่วนตัวเลย

มาในยุคหลังมีคนยืมแล้วไม่ส่งคืนของก็เลยหมดไป ประตูถ้ำก็ปิดตัวลงด้าย์วยดินพังทับถมจนไม่มีร่องรอยให้เห็น นี่ถ้าความซื่อสัตย์ยังอยู่ในดวงใจของมนุษย์ ้ำถ้ำก็คงจะเปิดมาถึงวันนี้เทียว เพราะกิเลสตัณหาแรงกว่าคุณธรรม ธรรมชาติจึงต้องปิดตัวลงไปเอง แล้วปล่อยให้คนแย่งกันทำมาหากินสืบต่อไป.

ที่ได้รับรู้มานี้เป็นเรื่องราวอันชวนให้พิศวงของสถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งยังมีมนต์ขลังให้คนทั้งหลายได้ไปเยี่ยมชมและพิสูจน์ในความจริงที่เล่าลือกันมานานแสนนานนี้ ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวเมืองตากมาจนตราบเท่าทุกวันนี้.

จบแล้วครับ หวังว่าทุกท่านคงสนุกในการอ่านนะครับ

สวรรค์ ๔ ชั้น


ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้จะพาท่านพุทธบริษัท ลัด เรียกว่าไปลักกันเลยไปจนจบแดนสวรรค์ทั้งหลาย


นี่เราพากันออกจากชั้นดาวดึงส์ไปชั้นยามา ชั้นยามานี่อยู่ทางทิศเหนือของชั้นดาวดึงส์เป็นเนินขึ้น ความจริงสวรรค์ไม่ใช่เป็นชั้น เป็นภาคพื้นอันเดียวกัน แต่รู้สึกว่าเป็นเนินสูงกว่ากัน เดินไปสักครู่หนึ่ง เป็นทางที่สวยสะอาดมากเป็นทางสีขาวโพลน สวรรค์ชั้นชั้นยามานี่มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ ๒๐๐ ปีของมนุษย์จึงเป็น ๑ วันของสวรรค์ชั้นยามา อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททราบไว้ด้วย

เทวดาชั้นยามานี่มีวิมานใหญ่กว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงาม มีสวนเหมือนกัน มีสระโบกขรณีเหมือนกัน เป็นที่น่ารื่นรมย์มาก มีความสุขมาก เป็นเทวดาที่มาบำเพ็ญบารมีต่อโดยตรง ความจริงสำหรับดาวดึงส์ก็เหมือนกัน ดาวดึงส์ทุกวันพระ พระอินทร์จะต้องเทศน์ถ้าไม่มีใครมาเทศน์สอนเทวดา หรือมิฉะนั้นท่านก็เชิญพรหมมาเทศน์บ้าง ถ้ามีพระขึ้นไปก็นิมนต์พระเทศน์บ้าง


สำหรับเทวดาชั้นยามานี่ทำบุญอะไร โดยมากเทวดาชั้นยามาประดับกายด้วยเครื่องขาว คือ เป็นเพชรแลดูสีขาวสะอาด วิมานก็ใหญ่กว่า มีความสงบสงัดคล้ายๆ กับเมืองพรหมมีความสุข เป็นเทวดาที่พระอินทร์ไม่เรียกใช้ เพราะว่าเป็นเทวดาที่มีความตั้งใจบำเพ็ญบารมีต่อ

เรื่อง การให้ทานการรักษาศีลเป็นเรื่องธรรมดาของเทวดาทุกชั้นจะต้องทำ การให้ทานการรักษาศีลของเทวดาแต่ละชั้น ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นมาหรือจาตุมหาราชขึ้นมา ท่านไม่ได้ทำตามประเพณี ทราบไว้ด้วย

ตั้งใจทำกันจริงๆ ไม่เหมือนฝ่ายรุกขเทวดาหรือภุมเทวดา คือเรียกว่าบุญไม่ค่อยจะครบถ้วน ทำเหมือนกันแต่ว่าใจไม่ครบ สำหรับอากาศเทวดาทั้งหมดไม่ถือประเพณีเป็นสำคัญ ทำด้วยจิตเป็นกุศลแท้อันนี้ต้องจำไว้


ตานี้ จะว่าต่อไปสำหรับบุญพิเศษ เทวดาชั้นยามานี่มีส่วนสำคัญอยู่ ๒ อย่างเป็นบุญพิเศษ คือ ๑ สวด มนต์ด้วยความเคารพ หมายความว่าชีวิตจิตใจของท่าน สวดมนต์เป็นประจำ ถ้าวันไหนไม่ได้สวดมนต์วันนั้นนอนไม่หลับ ไม่สบายใจ คือสวดด้วยความเคารพจริงๆ ด้วยความเลื่อมใสจริงๆ จะเป็นการสวดมนต์บทไหนก็ช่างเถอะ เรียกว่าเป็นการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน หรือมิฉะนั้น ก็ เป็นนักเจริญพระกรรมฐาน เจริญกรรมฐานจนกระทั่งจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ จิตเป็นทิพย์บ้างเล็กๆ น้อยๆ สามารถจะเห็นภาพที่เป็นทิพย์ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้บ้างพอสมควร ครั้นเมื่อตายแล้วจึงเกิดมาเป็นเทวดาชั้นยามาได้ นี่จำไว้เพียงเท่านี้นะ ว่าเทวดาชั้นนี้มีความสุข จะนำชมวิมานทุกวิมานน่ะไม่ไหว ในชั้นยามานี่ก็มีท้าวยามา คือเทวดาที่เป็นหัวหน้าหนึ่งคนคล้ายๆ พระอินทร์เหมือนเป็นเทวราชาปกครองทั้ง ๖ ชั้น

ออกจากชั้นยามาไป เราเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกนิดหน่อย ความจริงบนนี้ไม่มีตะวันนะ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงอาทิตย์ใดๆ แต่เราเทียบกับทิศของเมืองมนุษย์ เดินไปสักหน่อยหนึ่ง แต่ความจริงไกลมาก แต่ว่าเดินอย่างเทวดา เดินอย่างสภาพที่เป็นทิพย์ มันก็ไม่ไกล เป็นอันว่ามาถึงชั้นดุสิตซีคราวนี้ ชั้นสำคัญ


ชั้นดุสิตนี่มีอายุอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ แล้วก็ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ก็ ๔๐๐ ปีของเราเป็น ๑ วันของเทวดาชั้นนี้ แต่ว่าเทวดาชั้นนี้มีบุญญาธิการพิเศษ ที่คนจะเข้ามาได้ท่านจำกัดจริงๆ เรื่องทานเรื่องศีลไม่ต้องพูดกัน ดีแน่ เรียกว่าท่านทำกันแน่แล้วก็ทำอย่างเครียด เครียดมาก เอาจริงเอาจังมาก เทวดา ที่จะมาอยู่ชั้นนี้ได้มีอยู่ ๓ เหล่า คือ ๑ ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีขั้นปรมัตถบารมี จึงจะเข้ามาเป็นเทวดาในชั้นนี้ได้ หรือว่าคนที่เป็นพระพุทธบิดา พุทธมารดา ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อตายจากมนุษย์แล้ว จึงมาเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ หรือว่าคนธรรมดาแต่ว่าบำเพ็ญบารมีเป็นพระอริยเจ้า

ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะมีโอกาสเข้ามาอยู่เป็นเทวดาชั้นนี้ได้ แต่ ความจริงพระอริยเจ้านี่ ท่านอยู่เกือบทุกชั้น อย่างภุมเทวดา รุกขเทวดา จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัสดี และพรหม มีพระอริยเจ้าเยอะ แต่นี่เรากล่าวกันเฉพาะว่า ถ้าจะเข้ามาอยู่ขั้นนี้ ตั้งใจจะมาอยู่ชั้นนี้ ต้องเป็นตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เรียกว่า เทวดาธรรมดาๆ ที่ทำบุญให้ทานรักษาศีลธรรมดาหรือได้ฌานสมาบัติ นอกจากพระโพธิสัตว์ และ พระพุทธบิดา พุทธมารดาแล้วไม่มีโอกาสจะเข้ามาได้ นี่เป็นเทวดามีชั้นจำกัดจริงๆ แล้วก็ชั้นนี้มีเทวดาสำคัญอยู่องค์หนึ่งที่พวกเราสนใจ พวกเราสนใจกันมากก็คือพระศรีอาริยเมตตรัยความจริงพระศรีอาริยเมตตรัยนี่

สมัยพระพุทธเจ้า ท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านองค์นี้ไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมีต่อมาเมื่อพระนางกีสาโคตมีได้ทอจีวร ด้วยมือของตนเอง ปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งในพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆๆ กันไปผลที่สุด พระทุกองค์ก็ส่งต่อกันไปหมดจนถึงองค์สุดท้าย คือท่านอชิตะภิกขุไม่รู้จะส่งให้ใคร เพราะนั่งอยู่ท้ายบาหลี เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสาโคตมีเสียใจว่าอุตส่าห์ทำเอง เลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเอง ถวายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่รับ กลับไปให้พระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา ทีนี้สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรด ว่าพระองค์สุดท้ายน่ะไม่ใช่ใคร ไม่ใช่พระธรรมดา คือท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีอาริยเมตตรัย

เมื่อเรามาถึงชั้นดุสิตแล้ว เราจะเห็นว่าวิมานใหญ่มาก ใหญ่กว่าชั้นยามา วิมานแต่ละวิมาน ก็มีความสวยสดงดงาม เทวดาทุกองค์ ทุกชั้นมีรัศมีกายสว่างจากกาย มีรัศมีแสงสว่าง เทวดาทุกองค์ ทุกชั้นมีรัศมีกายสว่างจากกาย มีรัศมีแสงสว่างออกจากวิมาน แต่ว่าชั้นนี้มีแสงสว่างมาก สวยมาก วิมานก็ใหญ่มาก มีสถานที่รื่นรมย์มากมาแล้วนี่ พุทธบริษัทย่องๆ ไปดูพระศรีอาริย์สักนิดดีไหม? เดินตามอาตมามานี่เราตั้งต้นกันทางด้านทิศเหนือ เดินไปทางด้านทิศใต้ เฉียงๆ ไปทางด้านตะวันตกนิดๆ มีวิมานระเกะระกะ บริเวณวิมานแต่ละวิมานกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีรั้วรอบขอบชิดเต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ทางที่เราเดินก็เป็นทางแก้ว เดินไป วิมานแต่ละหลังก็สวย เทวดาแต่ละองค์ก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดุสิต แปลว่ายิ้ม ดุสิตไม่ใช่หน้าบึ้ง มีพระอริยเจ้าทั้งหมด มีพระพุทธบิดา พุทธมารดา และพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี นั่งอยู่ประจำวิมานเป็นแถวมีบริวารมากมาย เดินไป เดินไปสักครู่หนึ่ง จากต้นแถวเกือบจะสุดปลายแถว เรายืนอยู่มาพบวิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมาก องค์เจ้าของมีรัศมีกายสว่างมาก ผ่องใสหน้าตายิ้มระรื่นน่าชื่นใจ มองดูไปทางขวามือของเรา เลี้ยวขวา ไม่ใช่หน้าเดินเอาเท้าเดินไป อย่าเอาหน้าลงไปเดินมันจะยุ่ง เข้าไปใกล้วิมาน วิมานนี้ เป็นวิมานของพระศรีอาริยเมตตรัยเทพบุตร

พระศรีอาริยเมตตรัยนี่ เคยมีท่านที่ได้ฌานสมาบัติพิเศษท่านเคยถามว่า เมื่อใดจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวโดยประเมินว่า นับ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้านับในเมืองมนุษย์ก็ประมาณล้านปีเศษๆ ท่านจะมีโอกาสได้มาตรัสในเมืองมนุษย์ ถามว่าถ้าจะเทียบเวลานี้เป็นพื้นที่สมัยนี้ จะตรัสในประเทศไหน ท่านก็บอกว่า ทางทิศเหนือของพม่า ในเขตนั้น นี่สำหรับท่านที่ได้ฌานท่านเคยบอกให้ฟัง ท่านบอกว่ายังงี้นะ แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้

นี่เรามาชมบารมีของพระโพธิสัตว์กันตามสมควร ต่อจากนี้ไปก็เดินต่อไปดีกว่าอย่ารอช้าเลย เพราะเวลามันกระชั้น เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า เรื่องนี้จะว่ากัน ๒๔ ตอนก็เลิก ถ้าขืนพูดละเอียดไม่เป็นเรื่องแน่ เป็นอันว่าเดินต่อไป คราวนี้เราเดินไปทางตะวันตกเฉียงใต้นิดๆ จากชั้นดุสิต ขึ้นไปชั้นนิมมานรดี นี่เป็นเทวดาชั้นที่ ๕

ชั้นนิมมานรดี นี้มีอายุอยู่เป็นเทวดาได้ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ ๘๐๐ ปีของเรา เป็น ๑ วันของท่าน ยุ่งเหมือนกันนะ รู้สึกว่ายุ่งๆ เหมือนกัน อายุท่านมากเหลือเกิน แต่มากแบบธรรมดาๆ มากแบบสบายๆ มันจะเป็นไรไป งานการไม่ต้องทำแต่เรามาดูเทวดาชั้นนี้ รู้สึกว่าวิมานของท่าน แพรวพราวสวยสดงดงามมีของกระจุ๋มกระจิ๋มกระจุดกระจิกมาก เทวดาแต่ละองค์ก็มีความสวยสดงดงาม มีเครื่องประดับเป็นอย่างดีน่าเที่ยว เทวดาชั้นนี้ รู้สึกว่าจะเป็นเทวดาซุกซนมากสักหน่อย เรียกว่า รู้สึกว่าแต่ละองค์มีงานไม่ว่าง ชอบเนรมิตอะไรต่ออะไรเล่นโก้ๆ บางทีเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ชั้นที่ ๖ มีความต้องการอะไร ท่านเทวดานี้ ท่านก็เนรมิตให้ หมายความว่า ทำงานให้ จึงเรียกว่านิมมานรดี คือว่าเป็นเทวดาพวกเนรมิตของต่างๆ ตานี้ มาดูถึงบุญบารมีของเทวดาชั้นนี้ว่าเดิมที่นี่เขาทำยังไงกันไว้ จึงได้มาเป็นเทวดาชั้นนี้ เรื่องการให้ทาน การรักษาศีล บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืม ถ้าไม่ได้พูดถึงละจงคิดไว้ว่า ท่านทำกันไว้ครบถ้วน แต่ว่ามีกรณีพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือ ว่าเทวดาชั้นนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เคยเจริญฌานสมาบัติ ได้ฌาน ฌานของท่านต้องไม่น้อยกว่าฌาน ๔ อย่าลืมนะว่าฌานของท่านนี้ ไม่น้อยกว่าฌาน ๔ เมื่อได้ฌาน ๔ แล้วก็เจริญกสิณ ๑๐ ได้กสิณทั้ง ๑๐ อย่าง เป็นอภิญญา เมื่อได้อภิญญาแล้วท่านก็ชอบเนรมิตอะไรต่ออะไร เพราะพวกอภิญญานี่เป็นพวกมีฤทธิ์

สามารถเนรมิตร่างกายของคนก็ได้ เนรมิตอะไรต่ออะไรก็ได้ ให้เป็นอะไรได้ตามความปรารถนาทุกขณะจิตที่ต้องการ ไม่ใช่ไปนั่งเสกปากหมุบหมิบๆๆ ไม่ใช่ยั้งงั้น พวกอภิญญา พอนึกปั๊บมันก็เป็นปั๊บทันที อยากจะเล่นบ้างไหมล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท อยากจะเป็นนักอภิญญา เล่นอะไรก็ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ได้ หายตัวก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ตามใจนึก สมัยที่เป็นมนุษย์ท่านคล่องแบบนี้ เมื่อเวลาเป็นเทวดาก็เลยมีใจคล้ายมนุษย์ เพราะว่าการว่ามาด้วยใจ ร่างกายทิ้งไว้ ความประสงค์ก็เป็นเช่นเดียวกับความเป็นมนุษย์ เพราะว่าการไปเกิดเรานำใจไปเกิด เราไม่ได้นำกายไปเกิด ตานี้ เมื่อ เป็นมนุษย์มีความต้องการยังไงมีอุปนิสัยเป็นยังไง เป็นเทวดาก็เป็นแบบนั้น เป็นพรหมก็เป็นแบบนั้น ทีนี้เมื่อท่านอยู่สมัยเป็นมนุษย์ท่านได้อภิญญาสมาบัติ ความจริงเทวดาพวกนี้ ถ้าตายแล้วควรจะไปเป็นพรหม เพราะได้ฌาน ๔ ด้วย แล้วได้อภิญญาสมาบัติด้วย

แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาที่ท่านจะตายท่านไปตายนอกฌาน เอ๊ะ ไอ้คำว่านอกฌานนี่อย่าเข้าใจผิดนา ไม่ใช่ชานบ้าน ประเดี๋ยวจะหาว่าในบ้านมีเยอะแยะไปทำไมไม่นอน ทำไมไม่ตาย ดันมาตายที่นอกชาน ภายนอกของบ้าน เป็นชานเรือนออกไปไม่ใช่ยังงั้น คำ ว่าฌานังในที่นี้ หรือคำว่าฌานแปลว่าเพ่ง พูดว่า เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายก็ดี ฟังง่ายดี เวลาตายไม่เข้าฌานตาย ปล่อยอารมณ์เป็นปกติ แต่ว่าเป็นกุศล จิตที่ไม่น้อมนำเอาอกุศลเข้ามาไว้ในใจ ตายจิตเป็นกุศล แต่ไม่ได้เข้าฌานตายก็เลยไปเป็นพรหมไม่ได้ คนที่เข้าฌานตาย ถ้าต้องการไปเป็นพรหมก็มีคุณสมบัติเป็นพรหมได้ เขาก็ไปเกิดเป็น พรหม เว้นไว้แต่ถ้าไม่ต้องการเป็นพรหมจะไปแวะพักเป็นเทวดาชั้นในชั้นหนึ่งได้ ไม่ห้าม แต่ว่าท่านผู้นี้ไม่ใช่อย่างนั้นมีสิทธิจะไปเป็นพรหมได้ แต่เวลาจะตายไม่ได้ใช้ฌานให้เป็นประโยชน์ เลยไปเป็นพรหมไม่ได้ มาเป็นเทวดาชั้นที่ ๕ ที่เรียกว่านิมมานรดี แล้วมีหน้าที่เนรมิตของต่างๆ ที่เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีจะต้องใช้ จะต้องการทำให้ด้วยความเต็มใจ แต่ว่าท่านทั้งหลายพวกนี้เมื่อเป็นเทวดาแล้วบำเพ็ญฌานบารมีต่อไป ฌานเข้าที่ตามเดิม ถ้าพ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้เมื่อใด ถ้าหากว่าต้องการเป็นพรหมจะไปเป็นพรหมได้ทันที เรียกว่าเป็นเทวดาที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นชั้นสูงต่อไป

เอาละชมกันตามสบาย รู้กันถึงประวัติความเป็นมาของเทวดา ชั้นที่ ๕ แล้ว คราวนี้เราก็ไปชมเทวดาชั้นสูงสุดฝ่ายกามาวจรสวรรค์ เทวดาชั้นที่ ๖ มีนามว่า ปรนิมมิตวสวัสดี แปลว่าเป็นเทวดาที่จะต้องการใช้ของอะไร ผู้ที่ทำให้ก็คือเทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นนี้มีอายุถึง ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ แหม ยาวมาก อายุยาว ถ้าจะเทียบกับปีในมนุษย์ ๑๖,๐๐๐ ปีมนุษย์เป็น ๑ วันของท่าน น่าดู ถ้าหากว่ามนุษย์มีอายุเท่านี้ก็น่าดู น่ากลัวว่าเขี้ยวจะยาวจัด แล้วก็สำหรับเทวดาชั้นนี้มีวิมานสวย เป็นที่อยู่ของพระยามาราธิราช เอาละ วันนี้เราจะพบคนสำคัญกัน ว่ากันถึงบุญบารมีหรือว่าที่อยู่ก่อน วิมานใหญ่มีแสงสว่างมาก แสงสว่างจากกาย เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ เรื่องของสวรรค์ไม่ต้องพูดกัน นางฟ้าหรือทุกชั้น เทวดาทุกองค์มีนางฟ้าองค์ละมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นนิมมานรดีและปรนิมมิตวสวัสดีนี่ มีนางฟ้าหน้าตาสวยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มนับเป็นหมื่นๆ คน องค์หนึ่งนะ หนึ่งองค์มีนางฟ้านับเป็นหมื่นๆ องค์เป็นบริวาร น่าดูความจริง เราเป็นมนุษย์นี่จะหานางสำหรับเราไขว่คว้าแต่ละคนก็ยุ่งจัง หายาก กว่าจะตกลงกันได้ก็เต็มกลืน จะไปหานางไขว่คว้าสำหรับไขว่คว้าตามถนนก็ต้องเสียสตางค์ ดีไม่ดีก็เป็นโรคไม่ได้เรื่อง แต่นี้ สำหรับเทวดานี่รวยจริงๆ แหมน่าเป็น ไม่ต้องไปหาที่ไหนพอตายปุ๊บไปเป็นเทวดาปั๊บ แหมนางสำหรับไขว่สำหรับคว้ามีอยู่เป็นหมื่นๆ คอยอยู่แล้วนี่ถ้าไม่มียาบำรุงดีๆ หรือยาระงับประสาทดีๆ ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะพวกผู้หญิงมากๆ นี่ แต่คนเดียวเราก็แย่อยู่แล้วนะ แกพูดไม่ใช้น้อย มากคนถ้าแกพูดกันคนละคำนี่ ฟังคราวหนึ่งก็เป็นหมื่นๆ คำ น่ากลัวเทวดาชั้นนี้จะหูไม่ค่อยดี เรียกว่า ๒, ๓ ชั้นนี่น่ะหูไม่ค่อยดี จึงทนรำคาญพวกสตรีพูดกันได้มากๆ

เป็นอันว่าบุญบารมีของเทวดาในชั้นนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านทรงฌาน ๔ แต่ว่าไม่ทรงอภิญญา ได้ฌาน ๔ เฉยๆ แล้วก็ทรงฌาน ๔ เป็นปกติ รักษาอารมณ์เป็นกุศลแต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายเหมือนกับชั้นนิมมานรดี เมื่อตายแล้วเพราะอาศัยทรงฌาน ๔ ยิ่งมาเป็นเทวดาชั้นนี้ ครั้นเมื่อมาเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว ต่อไปทรงฌานปกติตามเดิม พ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้ ครั้นเมื่อมาเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว ต่อไปทรงฌานปกติตามเดิม พ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้ก็ไปเกิดเป็นพรหม นี่ว่ากันอย่างลัดๆ ถ้าไม่ลัดละก็เจ๊งแล้ว ๒๔ ตอนนี่ไม่จบกันแน่

ตานี้ เทวดาชั้นนี้มีที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง คือพระยามาราธิราช ความตามที่บางแห่งท่านกล่าวว่า มาร โลกมีอยู่ แล้วก็อยู่ที่ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีแบ่งกันคนละตอน คือว่ามารอยู่ตอนหนึ่ง อันนี้ พระอรรถกถาจารย์เฝือไป เฝือไปแก้พลาดไป ความจริงพระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงมารโลกเหมือนกัน แต่ว่าท่านไม่ได้แยกบุคคลออก หมายความว่ามารในที่นี้หมายความถึงว่าจิตเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วคำว่าโลก ท่านหมายถึงว่าคนๆ หนึ่งหรือเทวดาองค์หนึ่งจัดเป็นโลกๆ หนึ่ง ถ้า เป็นเทวดาก็ตาม มนุษย์ก็ตาม เป็นมิจฉาทิฐิ ท่านเรียกกันว่ามาร เพราะตัวมิจฉาทิฐิเป็นตัวฆ่าความดี มาระหรือมาร แปลว่าผู้ฆ่าความดีของบุคคลคนนั้น

ทีนี้มาว่ากันถึงพระยามาราธิราช พระยามาราธิราชนี่ ชาวสวรรค์เรียกกันว่าท้าวมาลัย ความจริงเวลานี้ท่านไม่ได้เป็นมารแล้ว เคยพบกับท่าน ท่านคุยสนุกหน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส ท่านบอกว่าเวลานี้ไม่ใช่มาร พระอุปคุตเล่นงานท่านเข้าให้ เป็นคู่ปรับกัน ความเป็นมารของท่านที่จะเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า จะขอนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังย่อๆ เพราะเหลือเวลาอีก ๓ นาที คือว่าในสมัยหนึ่ง ตอนต้นโน้น ตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีใหม่ๆ เมื่อปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระยามาราธิราชกับพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างเลี้ยงม้าเหมือนกัน วันหนึ่งก็ไปเกี่ยวหญ้าให้ม้าด้วยกัน พระยามาราธิราชก็เกี่ยวแยกออกไป ต่างคนต่างเกี่ยวคนละทาง วันนั้น บังเอิญมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาต้องการหญ้า ก็มายืนที่พระพุทธเจ้าของเราเกี่ยว พระพุทธเจ้าถวายหญ้าท่านฟ่อนหนึ่ง ท่านก็เหาะไป ครั้นจะเอาของเพื่อนให้ไปด้วยก็เกรงว่าเพื่อนจะไม่มีความเลื่อมใส จะด่าเอาเลยไม่ให้ไป ตอนเย็นเก็บหญ้ามารวม พระพุทธเจ้า ก็บอกกับเพื่อน ว่าวันนี้พระมาบิณฑบาตหญ้าเรา เราเอาของเราให้ไป แต่ว่าของเพื่อนเราไม่ได้ให้ไป เพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่เลื่อมใส เท่านั้นแหละ พระยามาราธิราชสมัยเป็นเพื่อนเจ็บใจหาว่าพระพุทธเจ้าเอาดีคนเดียว เลยจองล้างไว้ ถ้าหากแกจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรก็ตาม หรือก่อนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ข้าจะคอยขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของแกตลอดไป ทั้งนี้ เพราะว่าท่านเองก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน

ท่านเล่าให้ฟังว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็น พระพุทธเจ้า ที่คอยขัดขวางไม่ใช่อะไรเป็นความโง่ของท่าน ท่านคิดเกรงว่าพระพุทธเจ้านี่น่ะ จะเทศน์สอนคนไปนิพพานเสียหมด แล้วเวลาที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนรับการฟังเทศน์ ท่านบอกว่าผมมันโง่มากคุณ ความจริงผมไม่น่าจะโง่แบบนั้น (น่าจะโง่ ไม่ใช่โง่) ที่โง่ก็เป็นเพราะกรรมที่จองล้างจองผลาญกันไว้ รู้สึกเสียใจเหมือนกัน ว่าไม่น่าจะทำ ต่อมาเมื่อพระอุปคุตทรมานเสียจนหมดฤทธิ์ จึงมาได้คิดว่าเราโง่เกินไป เป็นอันว่าท่านมาราธิราช บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวท่าน ควรจะดีใจ ถ้าท่านมาหาเมื่อไร มีความสุขเมื่อนั้น แล้วก็เลิกเรียกชื่อพระยามาราธิราชได้แล้ว เรียกว่าท้าวมาลัยก็แล้วกัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท พามาชมถึงสวรรค์ ๖ ชั้นพอดี และก็พอดีแก่เวลามันจะหมด ก็จะต้องกำหนดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ พักอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๖ ก่อน แล้วก็เที่ยวไปเที่ยวมาตามอัธยาศัยได้ทุกชั้น จะได้สบายใจ วันพุธหน้าจะได้มาพาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไปเที่ยวพรหมโลก พอถึงพรหมโลกแล้วก็ถือว่าเอวังกันเอาละสำหรับเวลานี้หมดเวลาแล้วต้องขอลา ก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนนักทัศนาจร ที่ติดตามมาและท่านผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี จากหนังสือไตรภูมิ

สวรรค์ชั้นดาวดึงส์


ท่าน สาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนของพระอินทร์พักหนึ่ง มาวันนี้ จะพาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปชมวิมานเบ็ดเตล็ดซึ่งเป็นเทวดาตัวอย่างสัก ๒-๓ องค์ตามที่เวลาจะอำนวย เพราะว่าเรื่องราวของสวรรค์ต้องว่ากับแบบรวมๆ

วันนี้ เรามาพูดกันถึงว่า คนที่เคยทำบาป แต่ทว่าตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แล้วก่อนที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจะทราบเรื่องราวของเทวดาต่างๆ ขอให้รู้อายุของเทวดาชั้นนี้ไว้เสียก่อน เทวดาบน สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์เทวโลก ทุกองค์ มีอายุอยู่ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะประมาณเปรียบเทียบอายุในเมืองมนุษย์ หนึ่งร้อยปี เท่ากับ ๑ วัน แล้วก็เดือนหนึ่ง ๓๐ วันปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ก็นั่งนับกันเอาเองก็แล้วกัน นั่งนับกันตามสบายแล้วสำหรับเทวดาที่เกิดในชั้นนี้ หรือชั้นอื่นก็เหมือนกัน ไม่แน่ว่าจะมีอายุเฉพาะกาลที่กำหนดไว้

สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเคยบวชพระด้วยตนเอง และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วยดี ท่านประเภทนี้เวลาบวชแล้วมีอานิสงส์ อยู่เป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป หมายความว่ามีอายุเป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป สำหรับบิดามารดาผู้ให้บวช ผู้ให้กำเนิด ได้อานิสงส์คนละ ๓๐ กัป ต่อลูกชายบวช ๑ คน แล้วสำหรับคนที่เป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ เป็นเจ้าภาพให้กุลบุตรบวชในพระพุทธศาสนาได้อานิสงส์แห่งการบรรพชากุลบุตรใว้ ในพระพุทธศาสนาคนละ ๑๒ กัปต่อ ๑ องค์ สำหรับท่านที่ได้ทำบุญอุปสมบทกุลบุตรไว้ในพระพุทธศาสนา

ช่วย เขาคนละบาทสองบาท หรือช่วยด้วยกำลังแรง อย่างนี้ก็มีอานิสงส์องค์ละ ๘๐ กัป ไม่ใช่ ๘๐ นะ เอาแค่ ๘ เฉยๆ เอาศูนย์ออกเสีย มันจะเหนื่อยเผลอไป เป็นอันว่าถ้าหากว่าอยู่ถึงพันปีทิพย์หรืออยู่ตามกำหนดเทวดาชั้นนั้นๆ อานิสงส์นี่ยังไม่หมด เมื่อตายจากความเป็นเทวดาเมื่อครบกำหนดพันปีทิพย์สมมติเอาในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ ท่านก็เกิดเป็นเทวดาใหญ่

เพียง แค่พริบตาเดียว ไม่ต้องป่วยไข้ หมดบุญก็หมดตัวพริบตาเดียว คนอื่นไม่รู้ เรียกว่า คนอื่นสังเกตไม่ทัน นี่ว่าถึงอานิสงส์แห่งการอยู่ในฐานะเทวดา ไม่ใช่เฉพาะว่าต้องมีอายุครบพันปีทิพย์แล้วก็ต้องไปที่อื่น ไม่ใช่ยังงั้น นี่สำหรับคนผู้บวช และสำหรับคนที่บวชสามเณรในพระพุทธศาสนา บวชตัวเอง หมายความว่าตัวเองได้บวช แล้วก็เป็นเณรอย่างดี ไม่ใช่เป็นเณรเปรต พระเปรต บวชเข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย บวชเข้ามาแล้วประพฤติดีตามพระธรรมวินัย

มี อานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป สำหรับบิดามารดาได้คนละ ๑๕ กัป สำหรับพ่อกันแม่นี่ มีอานิสงส์เป็นพิเศษ ท่านกล่าวว่า เมื่อบิดามารดาคลอดบุตรออกมาแล้ว พ่อกับแม่จากไป ไม่รู้ว่าลูกชายเป็นใคร ลูกชายไม่รู้ว่าพ่อแม่ชื่ออะไร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เป็นยังไงไม่รู้จักกัน เวลาลูกชายบวชเมื่อไร พ่อแม่อยู่ที่ไหนก็ตาม

มี อานิสงส์เต็มที่ คือสามารถเป็นเทวดาได้ ๑๕ กัป เฉพาะลูกชายบวชเณร ถ้าลูกชายบวชพระ ก็มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป นี่การบวชกุลบุตรในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์พิเศษแบบนี้ ซึ่ง ไม่เหมือนกับอานิสงส์อย่างอื่น การทำบุญอย่างอื่น ต้องอุทิศส่วนกุศลให้ พ่อแม่มีโอกาสโมทนาก็ได้บุญ ถ้าพ่อแม่ไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้บุญ ฉะนั้น การบวชตัวเองก็ดี บวชคนอื่นไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี บวชลูกบวชหลานไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี ต้องให้ลูกให้หลานปฏิบัติให้ดีตามพระธรรมวินัย จะมีอานิสงส์ตามที่กล่าวแล้ว ถ้าลูก หลานปฏิบัติไม่ดี หรือว่าเวลาบวชสร้างบาปไว้มากๆ เวลาจะบวชลูกหลานสักคราว ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าควาย อย่างนี้ เขาเรียกว่าไม่ใช่บวชซื้อบุญ เป็นการลงทุนซื้อบาป การบวชในคราวนั้นไม่มีผล เพราะอะไร? เพราะว่าจิตไม่มีกุศล จิตเป็นอกุศลเป็นบาปไปเสียหมด เลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งซึ่งกันและกัน ไม่ทำอย่างนั้นก็เกรงว่าชาวบ้านจะติเอา เขาทำแล้วเขาเลี้ยงกันแบบนี้ เราเองเราทำเราไม่เลี้ยง หน้าตามันจะไม่เสมอเขา ยังงี้เขาไม่เรียกว่าปรารถนาหน้าตาเป็นเทวดา


ปรารถนา หน้าตาเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพราะว่าน้องใช้หนี้กรรมเขามาตามนั้น นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อายุของเทวดาแต่ละชั้นมีจำกัดก็จริง แต่ทว่าท่านพุทธบริษัทชายหญิงที่ทำบุญเข้าไปแล้ว

อย่าง บวชพระบวชเณรเป็นต้น เมื่อครบอายุก็ตายปุ๊บเกิดปั๊บ เป็นเทวดาชั้นนั้นต่อไป นี่ว่ากันถึงว่าเป็นเทวดาธรรมดาไม่สร้างบารมีพิเศษ ถ้าไปสร้างบารมีเป็นพิเศษ อาจจะมีบุญก้าวขึ้นไปสู่ชั้นอื่นก็ได้ เอาละ สำหรับเรื่องนี้ของดไว้ จะพูดต่อไปถึงเทวดาตัวอย่างคนทำบาปไว้มาก แต่ว่าเกิดเป็นเทวดาได้

ตัวอย่างท่าน สุปติฏฐเทพบุตร ปรากฏว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม ไม่เคยทำบุญ วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ใครเขาบอกบุญบอกทานเห็นแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต้องการ กินเหล้าเมายาตลอดเวลา เมื่อเวลาจะตายขึ้นมาจริงๆ เวลานั้นมองเห็นทรัพย์สิน เห็นลูกเห็นเมีย ข้าทาสหญิงชายนั่งกันสะพรั่งตัวเองมีทุกขเวทนาอย่างหนัก ก็มาคิดในใจว่าคนทั้งหลายนี้เป็นคนของเรา เราสร้างฐานะมาด้วยความลำบาก จนกระทั่งเป็นคหบดี คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีโอกาสจะช่วยเราได้ เราตายคราวนี้เห็นจะรับโทษคนเดียว เพราะว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่าใครทำบาปแล้วไปตกนรกคนเดียว


ตอน นี้ เกิดกลัวนรกขึ้นมา จิตใจเลยน้อมนึกไปว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ย่อมช่วยคนในยามมีทุกข์ นี่เป็นยังงั้นนะ บรรดาพระนี่เป็นยังงั้น ถ้าคนไม่เห็นทุกข์ คนก็ไม่ค่อยจะเห็นพระ

ถ้ามีทุกข์ ขึ้นมาเมื่อไรก็เห็นพระเมื่อนั้น พระก็ประเภทเดียวกับหมอดู แต่ว่าหมอดูได้เปรียบกว่าพระ เพราะมีโอกาสได้ค่าจ้างรางวัล ดีไม่ดีก็ยุให้สะเดาะเคราะห์ไปเลย เป็นอันว่าคนดูมีเคราะห์เพิ่มขึ้น หมอดูหมดเคราะห์ นี่เป็นเรื่องของท่าน คราวนี้ มาว่ากันไปถึง สุปติฏฐเทพบุตร เมื่อเป็นมนุษย์นึกถึงความชั่วของตัวจะให้ผล ก็นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระทศพล ตอนนี้เอง จิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตไปด้วยความเลื่อมใส ภาวนาได้ไม่กี่คำก็พอดีตาย ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

เรื่อง นี้บรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านเคยค้านท่านฤๅษีลิงดำว่า คนทำความชั่วมามาก ทำไมหนอจะมีโอกาสไปสวรรค์ได้แม้ว่าตัวเองจะทำบุญนิดเดียว อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องคิดดูสักนิด จะเปรียบเทียบให้ฟัง

สมมติ ว่าเราเองนี่นะ เป็นหนี้เขาอยู่มาก เป็นหนี้เขาอยู่หลายแสนบาท เจ้าหนี้เขาทวงซึ่งอีกไม่กี่วันเขาจะฟ้องล้มละลาย จะยึดทรัพย์ยึดสินจนหมด แต่ก่อนหน้าที่เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลาย บังเอิญทีเดียว เขาไปถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เข้า เวลานี้ได้ล้านบาทเศษ พอได้เงินล้านบาทเศษทำยังไง?

เขาไม่ ใช้หนี้ โน่น เดินทางไปต่างประเทศที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน ไปนั่งเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีที่นั่นตามสบาย แต่ทว่า ถ้าหมดเงินเมื่อไร กลับมาเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ เจ้าหนี้เขาก็ฟ้องตามหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ เวลานั้นเขาหนีไปได้เงินทองที่มีอยู่ก็ไม่ต้องเสียไป ไม่ต้องใช้หนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้คนเราก็เหมือนกัน ทำความชั่วไว้มาก แต่เวลาจะตายถ้าทำใจผ่องใสนึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล อันนี้

สมเด็จ องค์พระทศพลทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา เมื่อเราจะตายถ้าจิตเศร้าหมอง ทำบุญไว้มากมายเท่าไรก็ตาม ไปรับผลของกรรมชั่วก่อน จิตเต ปริสุทเธ สุคติปาฏิกังขา เมื่อเวลาจะตายถ้าจิตใจผ่องใส จะทำบาปไว้เท่าไรก็ตาม เราไปรับผลของบุญก่อน ตัวท่านสุปติฏฐเทพบุตรทำบาปไว้มาก เมื่อเวลาจะตายจิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย อารมณ์เกิดผ่องใส คิดว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ต้องช่วยเราได้ ภาวนาด้วยความเลื่อมใสและความมั่นใจอันนี้

ท่านกล่าว ว่าเป็นพุทธานุสสติ คือระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมานุสสตินึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสตินึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ฉะนั้น เมื่อท่านตายไปแล้ว แทนที่จะไปเกิดในนรก ก็เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

แต่ ในฐานะที่ตนเองเป็นคนประมาทมาก่อน เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาประมาทไม่สร้างความดีต่อ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ปรากฏว่า ท่านสุปติฏฐเทพบุตรจะหมดอายุจากความเป็นเทวดา เมื่อหมดแล้วต้องต้องหาใช้หนี้กรรมเก่ารู้ตัวว่าจะต้องตกอเวจีมหานรกสิ้น ๑ กัป เพราะบาปที่ทำปาณาติบาตเป็นอาจิณกรรม ออกจากนั้นแล้วก็ไปเสวยผลในนรกบริวารอีก ๔ ขุม แล้วก็มานั่งไล่เบี้ยในยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะทำบาปครบถ้วน จากนั้นก็มาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาเป็นคนหูหนวด ๕๐๐ ชาติ เพราะเขาบอกบุญรู้แล้วได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ตาบอด ๕๐๐ ชาติเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติเพราะการดื่มสุราเมรัยเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้ ๕๐๐ ชาติ เพราะเศษกรรมของปาณาติบาตทรมานสัตว์ ทำสัตว์ให้ตาย เมื่อแกรู้เข้าแบบนี้ก็ตกใจ วิ่งโร่เข้าไปหาพระอินทร์ขอให้พระอินทร์ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่าช่วยไม่ได้

ฉันก็เป็น เทวดาเหมือนกัน พระอินทร์พาไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพิจารณาว่า เทวดาองค์นี้ ถ้าเราเทศน์อภิธรรม ๗ คัมภีร์ไม่มีผล เพราะบารมีไม่ถึง เทศน์อะไรจึงจะดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เทวดาองค์นี้เมื่อฟังจบ ก็จะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล

บาปกรรมที่ตน ทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล เป็นอันว่าสมเด็จพระทศพลจึงได้เทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฏฐเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดียรัจฉานฉานไม่มีโอกาสจะให้ผล

นี่ แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน คนที่เป็นบาปนะเขาทำกันแบบนี้ เรียกว่าเขาทำกันแบบนี้ เวลาจะตายหาความดีเข้าไว้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้สอนพุทธบริษัทให้เจริญพระกรรมฐานเข้าไว้ ข้อใดข้อหนึ่งให้จิตชิน เมื่อมีอารมณ์ชินแล้ว เวลาจะตายจิตก็จับอารมณ์นั้นเข้าไว้ อารมณ์จะผ่องใส บาปกรรมทั้งหลายจะตามไม่ทัน นี่เป็นเทวดาตัวอย่างพูดให้ฟัง เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ นี่ หนึ่งละนะ

มาคน ที่ ๒ คนทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ดูเจตนาเขาให้ดีนะ เทวดานางหนึ่ง เรียกว่านางฟ้าก็แล้วกัน นางฟ้านางหนึ่งมีนามว่า สาตจีเทพธิดา สาตจีเทพธิดานี่เป็นคนจนในสมัยเป็นมนุษย์ ในขณะเป็นมนุษย์จนมาก ตัดฟืนขายทุกวัน โอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลไม่มี เช้าก็ป่า ตอนเย็นก็กลับมาบ้านขายฟืนเสร็จหุงข้าวกิน เช้าก็ต้องเข้าป่า เป็นแบบนี้ทุกวัน

พระจะมาบิณฑบาตหรือ จะมาบอกบุญบอกทานไม่มีใครมีโอกาสได้พบเธอ ไม่ใช่ว่าไม่มีศรัทธา ศรัทธามี แต่โอกาสไม่มี วันหนึ่ง สาตจีเทพธิดาเข้าป่า ไปพบดอกบวบขมเข้า มีสีเหลืองคิดถึงพระว่าดอกบวบขมนี่ มีสีคล้ายๆ จีวรพระ ตอนเย็นวันนี้ เรากลับไป เราจะเด็ดเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุอัฐิธาตุของพระอรหันต์ เวลากลับบ้านเธอก็เก็บมาจริงๆ มาถึงบ้านขายฟืนแล้วหุงข้าวกินเสร็จอาบน้ำอาบท่านแต่งตัวดี จึงได้นำดอกบวบขมชุดนี้

ตั้งใจจะเอาไปบูชา เจดีย์ที่เขาบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ แต่ว่าระหว่างที่นางเดินทางไปนั้น ปรากฏว่า มีวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ขณะที่นางจะตายจิตใจก็นึกว่าเราจะไปบูชาพระรัตนตรัย นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจของนางนี้นั้น จัดว่าเป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน เพราะตั้งใจจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ ด้วยอานุภาพแห่งการตั้งใจบูชา ตั้งใจทำบุญด้วยจิตเป็นกุศลจริงๆ

เมื่อ ชีวิตของนางออกจากร่าง ก็ไปบังเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเพราะอาศัยมีสีเหลืองเป็นสำคัญ เครื่องประดับกายของนางก็ดี เครื่องประดับวิมานของนางก็ดี มีสีเหลืองเป็นทองไปหมด แล้วมีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร มีความสุขสำราญอยู่ที่นั่น นี่คนที่ ๒ ละนะ ดูเวลามีพอไหม ถ้ามีพอว่าต่อไป

อีกท่านหนึ่งไม่เคยทำ บุญอะไรมาเลยเช่นเดียวกับนางสาตจีเทพธิดา แต่ทว่าก็ไม่เคยทำบาป ท่านองค์นี้คือท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่เป็นลูกของเศรษฐี มีทรัพย์นับได้ ๘๐ โกฏิ แต่เศรษฐีนี่ท่านก็เศษจริงๆ เป็นคนที่ไม่เคยให้ทานเลย ขี้เหนียวตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เพราะถือว่าทรัพย์ของเรา เราหาเอาไว้ พ่อแม่หาให้ คนอื่นไม่เกี่ยว มีลูกชายคนหนึ่งเวลาที่ลูกชายป่วยหนักท่านรักษาของท่านคนเดียว ไปเก็บยามาให้

แต่ว่าขณะนั้นอาการไม่ดี ขึ้น ในที่สุดท่านก็คิดว่าลูกชายของเราใกล้จะตาย ดีไม่ดีญาติพี่น้องทั้งหลายพากันมาเยี่ยม ลูกชายนอนอยู่ในห้องแบบนี้ เมื่อเห็นทรัพย์สินเข้า คนนั้นจะขออย่างนั้น คนนี้จะขออย่างนี้ เราก็จำจะต้องให้ ไม่เอา ไม่เอา อีท่านี้ไม่ดี เลยพาลูกชายไปนอนที่ระเบียง เอาไปนอนที่ระเบียงบ้านเผื่อว่าใครเขามาเยี่ยมจะได้ไม่เห็นทรัพย์สมบัติอะไร

ลูกชายก็มีอาการหนักเข้ามาทุกที เงินทองมีมากจะไปหาหมอมารักษา ท่านก็ไม่ทำ ในที่สุดลูกชายก็ใกล้ตายเต็มที วันนั้นบังเอิญองค์สมเด็จพระชินสีห์กับพระอานนท์เดินผ่านไป ท่านมัฏฐกุณฑลีเห็นเข้าก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่าพ่อแม่ของเรานี้ไม่เป็นที่พึ่ง เป็นเศรษฐีใหญ่ แต่ว่าไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อลูกชาย ฉะนั้นจึงได้คิดว่าพ่อแม่ก็ดี ทรัพย์สินก็ดี ไม่เป็นที่พึ่งที่อาศัยสำหรับเราได้ เห็นแต่พระรัตนตรัยเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้เป็นอย่างดี ท่านมัฏฐกุณฑลีจะยกมือขึ้นมาไหว้ก็ไหว้ไม่ไหว ในที่สุดก็เอาใจน้อมไปถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ไม่ช้าท่านก็ตาย

เมื่อตายไปแล้วก็ไป เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำ มีเครื่องประดับมาก มีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านชมวิมานแล้วก็ดูเจตนาของเขานะ คนที่จะถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้นี่ ไม่ใช่ว่าจะมากันได้ง่ายๆ ต้องมีกำลังใจชั้นดีจริงๆ ถ้าหากจะบูชาพระรัตนตรัยนึกถึงพระรัตนตรัยก็ต้องจิตมั่นคง ไม่ใช่สักแต่ว่าสวดมนต์ส่งเดชตามประเพณี ภาวนาส่งเดชตามประเพณี อย่างนี้มาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่ได้ อย่างดีก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา หรือดีไม่ดี บุญกุศลที่กระทำประเภทนั้นโดยไม่ตั้งใจจริงก็จะพาลงนรกไป เพราะว่าไม่ได้เคารพกราบไหว้บูชาด้วยจริงใจ นี่เล่าให้ฟังนะ เขาตัดใจกันจริงๆ

ตานี้ มาดูคนอีก ๒ คน เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง มาดูอีก ๒ คน คือพระอินทร์กับอังคุละเทพบุตร เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปใหม่ๆ ไปถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พระอินทร์ไปนั่งข้างขาเบื้องขวา อังคุละเทพบุตรนั่งข้างขาเบื้องซ้าย พอเทวดาผู้ใหญ่มาเข้าอังคุละเทพบุตรถอยไปๆ ถอยจนกระทั่งไปอยู่ข้างหลังเพื่อน

สำหรับ พระอินทร์ไม่ถอย พระพุทธเจ้าประสงค์จะประกาศผลของคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก จึงได้ถามอังคุละเทพบุตรว่า อังคุละ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอนั่งใกล้อยู่กับพระอินทร์ เวลานี้เธอไปนั่งอยู่ไกลสุด ในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำอะไรไว้? อังคุละเทพบุตรจึงได้กราบทูลตอบสมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ตั้งใจให้ทานอยู่ ๒ หมื่นปี คือตั้งเตาไว้ ๑ โยชน์ ตั้งเตา ๑ เตา ๑ โยชน์ตั้ง ๑ เตา เพื่อตั้งโรงครัว ๘๐ โยชน์ ๘๐ เตา เลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางตลอดเวลา แต่เวลานั้นเป็นเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าตรัส เป็นเวลานอกพระศาสนา

อานิสงส์ ที่ทำบุญแบบนี้มา ๒ หมื่นปี ตายขึ้นมาเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด ต้องอยู่หลังเทวดาอื่นทั้งหมด เพราะอานุภาพไม่เท่าเขา องค์สมเด็จพระผู้มีภาคเจ้าจึงได้ถามพระอินทร์ว่า สมัยที่เป็นมนุษย์พระองค์ทำอะไรไว้ จึงมีศักดาใหญ่ ไม่ต้องถอยหลังให้แก่ใครเป็นเทวดาชั้นหัวหน้า พระอินทร์ก็กราบทูลสมเด็จพระสมมาสัมพุทธเจ้าว่า สมัยเป็นมนุษย์ข้าพเจ้าถวายสังฆทานเป็นปกติ คือนิมนต์พระมาแล้วก็ถวายสังฆทาน อานิสงส์แห่งการถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้านี่เป็นเทวดาอื่นทั้งหมดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

นี่ แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องการชมดาวดึงส์ก็ขอยุติเพียงแค่นี้นะ ถ้าจะนำชมกับจริงๆ ละก็อีกหลายตอน สัก ๑๐๐ ตอนก็ไม่จบเพราะว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน มาพูดไว้ตอนนี้เพื่อให้รู้ว่า การที่จะมีวิมานเข้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ต้องใจดีจริงๆ แล้วการทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนากับการทำบุญในเขตพระพุทธศาสนามีอานิสงส์ไม่ เหมือนกัน รวมความว่าทำบุญกับพระ กับการทำบุญกับชาวบ้านน่ะ มีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน ดูตัวอย่างอังคุละเทพบุตรกับท่านพระอินทร์ก็แล้วกัน

ตา นี้ ทำบุญกับพระก็เหมือนกัน ทำบุญกับพระที่มีศีลบริสุทธิ์ก็สู้ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติไม่ได้ ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติก็สู้ทำบุญกับท่านที่เป็นอริยสงฆ์ไม่ได้

เอา ละ จะพูดมากไป เวลามันเลยไปสักนิดหนึ่งกระมัง เลยหรือไม่เลย? ถ้าเลยก็ขออภัยท่านเจ้าหน้าที่ด้วย สำหรับวันนี้ ก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ เดินทางเที่ยววนไปวนมาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สัก ๗ วันนะขอรับ วันพุธหน้าผมจะพาท่านเที่ยวใหม่ สำหรับวันนี้ หมดเวลาแล้ว ต้องขอลาก่อน

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ติดตามรับฟังทุกท่าน สวัสดี. .



หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หนังสือไตรภูมิ

พระจุฬามณีเจดีย์สถาน


ท่าน สาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อนได้นำท่านพุทธบริษัทมาปล่อยไว้ที่จุฬามณีเจดีย์สถาน หวังว่าพุทธบริษัททั้งหลายคงจะนั่งคอยอาตมาจนครบ ๗ วัน ถ้าวันนี้มีเสียกรอกๆ แทรกละก็ขออภัยด้วย เมื่อวันก่อนนี้เสียงขาดไปนิดหนึ่งกำลังนั่งบันทึกเสียง เกิดมีคนเขามารายงานเข้ามาในระหว่าง ความจริงมันผิดระเบียบไม่รู้ว่าเขาทำยังไงของเขาก็เลยต้องหยุดไปนิดหนึ่ง

สำหรับ วันนี้มาว่ากันใหม่ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทนั่งอยู่ที่เชิงบันไดพระจุฬามณีเจดีย์สถาน คงจะได้เห็นบรรดา?และพระเจ้าทั้งหลายพากันมานมัสการพระจุฬามณีกันแล้วกระมัง เพราะมันผ่านวันพระมาแล้ว จะได้ดูหรือไม่ได้ดูก็ช่าง วันนี้ เราขึ้นกันไปบนพระจุฬามณี ขึ้นไปบนเชิงพระจุฬามณีรองๆ บริเวณ ข้างล่างจะประดับประดาไปด้วยมณี ๗ ประการพื้นที่เหยียบอยู่ กำแพงทุกด้านของพระจุฬามณีเป็นทองคำ องค์พระจุฬามณีเป็นแก้ว ๗ ประการ

ตาม ตำนานท่านกล่าวว่าพระจุฬามณีมีประตูสำหรับเข้าถึง ๑,๐๐๐ ประตู ความจริงจะมีเพียงใดไม่ต้องสนใจ จะสนใจไปทำไม ทีนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ จะอธิบายอะไรก็ตามควรที่พุทธบริษัทจะเดินชมเสียก่อน ที่พระจุฬามณีนี่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเวชยันต์วิมาน หรือว่าเป็นวิมานของพระอินทร์ ทีนี้เราเดินเข้าไปอีกหน่อย ขอโทษไม่ใช่ทิศเหนือ เป็นทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน เดินเข้าไปทางด้านทิศตะวันตก ใต้ลงไปนิด เราจะเห็นสวนสำคัญเป็นที่รื่นรมย์ ที่เที่ยวของเทวดา มีความสุขมาก คล้ายๆ กับสวนสามพราน

แต่ ความจริงที่นั่นมีต้นไม้เต็มไปด้วยแก้วระยิบระยับเต็มไปหมด มีทั้งไม่ดอกไม้ผลไม้ใบอย่างดี สวนนี้มีนามว่านันทวันและก็ทางด้านทิศตะวันตกของเวชยันต์วิมานอันนี้มีสวน ดอกไม้โดยเฉพาะเรียงรายระยิบระยับเป็นแก้วแพรวพราย เรียกว่าสวนจิตรลดาวัน ที่นี้ออกไปทางด้านเหนือของเวชยันต์วิมาน มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนมิสกวัน

นี่มี ต้นไม้สวยเหมือนกัน แล้วก็ทางด้านทิศใต้มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนปารุสกวัน ที่รัฐบาลให้นามวังหนึ่งว่าวังปารุสก็เห็นจะเอานามชื่อนี้มาใช้ แล้วอีกจุดหนึ่งที่สำคับ ก็คือพระจุฬามณีเจดีย์สถานที่เรายืนอยู่ที่นี่ และจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานไปทางทิศตะวันตก อันนั้นเหนือสวนนันทวันนิดหน่อยเขตติดๆ กันกับพระจุฬามณีเจดีย์สถาน นั่นคือเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีเป็นสวนใหญ่มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน อยู่ทางด้านตะวันออกของเวชยันต์วิมาน แล้วตรงกลางมีแท่นแก้ว ที่เรียกว่าแท่นแก้วมณีคือแก้วอะไร บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หมายความว่าเป็นแก้วกัมพลมีสีแดง เป็นที่ประทับของพระอินทร์มีบริเวณกว้างมาก แก้วนี้มีสภาพคล้ายๆ กับเก้าอี้สปริง แท่นแก้วนะ มีสภาพคล้ายๆ เก้าอี้ของพระอินทร์แล้วก็ต่อแต่นั้นไปทางด้านทิศใต้ มีศาลาอยู่หลังหนึ่งเป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงล้อมรอบมีที่ระรื่นมีที่สำหรับพระอินทร์ประทับ อันนี้มีนามวาศาลาสุธรรมา เป็นที่ประชุมของเทวดา แล้วมาทางด้านทิศใต้ข้างหน้าของเวชยันต์วิมาน คือว่าใกล้ๆ กับจิตรลดาวัน-สวนลดาวันน่ะนะ มีสระอันหนึ่งเขาเรียกกันว่าสระโบกขรณี นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวชยันต์วิมานเป็นวิมาน ๙ ยอด มีแก้ว ๗ ประการเป็นวัตถุสำหรับทำวิมาน แล้วก็เป็นวิมานที่สูงใหญ่มาก ท่านบอกว่ามีถึง ๑,๐๐๐ ชั้น มีนางฟ้าเป็นบริวารของพระอินทร์อยู่ในวิมานนั้นถึงแสนคน แหมมากเหลือเกิน แล้วก็รอบๆ เวชยันต์วิมาน มีวิมานสวยๆ ล้อมรอบอยู่ถึง ๓๒ วิมาน แล้ววิมานทั้งหลายเหล่านี้

อะไรเป็น อานิสงส์ให้ได้วิมานทั้งหลายที่กล่าวมา อันนี้ ก็จะขอยับยั้งไว้ก่อน นี่บอกให้ฟังว่ามีอะไรกันบ้าง คือจากพระจุฬามณีมาไล่กันง่ายๆ มีสวนนันทวันอยู่ทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน สวนจิตรลดาวันอยู่ทางตะวันตกของเวชยันต์วิมาน แล้วก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นพระแท่นแก้วสำคัญ เป็นสวนเหมือนกัน อยู่ทางด้านทิศตะวันออกแต่ว่าติดกับพระจุฬามณีมาก ตะวันออกของเวชยันต์วิมานนะ แล้วก็มีธรรมเทวสภาเรียกว่า เทวสภา กับศาลาสุธรรมาประดับประดา คือทำด้วยแก้ว ๗ ประการมีพระแท่นแก้ว ๗ ประการ สำหรับพระอินทร์ประทับแสดงธรรม แล้วก็มีสระโบกขรณีอยู่ทางด้านทิศใต้ของเวชยันต์วิมาน ติดกันกับสวนจิตรลดาวัน นี่ ของที่น่าเที่ยวนี่ชมมีอย่างนี้นะ พูดมาแล้วแค่นี้ขอถอยหลังกลับไปถอยหลังกลับไปอีกนิด ไปหาพระจุฬามณี ตามที่กล่าวมาแล้วว่าพระจุฬามณีทำด้วยแก้ว ๗ ประการ อันนี้เป็นที่บรรจุพระจุฬามณี คือผมของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เวลาที่ออกบวช ตัดผมเมื่อไหร่ พระอินทร์เอาผอบทองไปรับมาเมื่อนั้น แล้วก็เป็นที่บรรจุของพระเขี้ยวแก้ว ถึงเวลาวันพระ บรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายพากันเข้ามานมัสการอย่างคับคั่ง ท่านที่ได้อภิญญาหรือมโนมยิทธิ สำหรับมนุษย์ที่ได้ฌานก็พากันมาถวายนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เมื่อเข้าไปที่นั่นแล้ว ถ้าตาดีนะ ถ้ามีญาณพิเศษดีจะเห็นว่ามีพระอยู่องค์หนึ่ง สวยสดงดงามมาก มีรัศมีพวยพุ่งออกจากพระวรกายแสดงธรรมเป็นประจำ แต่ทว่า ถ้าคนตาไม่ดี สมาธิไม่ดีก็เห็นเป็นพระพุทธรูปไป บางคนไม่เห็นพระทอง แต่ปาไปเห็นเป็นพระพุทธรูปขนาดไหนล่ะ ขนาดทำด้วยอิฐทางสีขาว นี่เป็นเรื่องราวของที่นี่ แล้วก็พระจุฬามณีก็เหมือนกัน บางคนก็เห็นเป็นปูนบ้าง บางคนก็เห็นเป็นสีทองบ้าน อันนี้เรียกว่าสมาธิดีไม่พอ ถ้าสมาธิดี จิตสะอาดดีจะเห็นเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งองค์ อันนี้ขอเลยไป

ตานี้ เรามาว่าถึงเรื่องอะไร อ๋อ จะเลยไปเสียก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวจะมีคนถามว่าพระจุฬามณีเจดีย์สถานนี่น่ะ บรรจุ พระเขี้ยวแก้วกับพระเมาลี คือผมของพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ ก็ขอตอบว่าบรรจุทุกพระองค์ ถ้าถามว่าสร้างขึ้นมาเมื่อไร ใครเป็นคนสร้างอีตรงนี้ไม่ต้องตอบ ทำไมจึงไม่ต้องตอบ? ก็เพราะว่าตอบไม่ได้ ไม่ รู้ว่าสร้างเมื่อไหร่ใครเป็นคนสร้าง บนสวรรค์นี้ไม่มีนายช่างสร้างของในเมืองมนุษย์เป็นตึกเป็นรามก็ตาม บนเทวดานี่เขาไม่สร้างกัน เกิดขึ้นจากอำนาจบุญ เป็นบุญของใคร? เป็นบุญของพระพุทธเจ้าองค์แรก แล้วพระพุทธเจ้าองค์แรกมีพระนามว่ายังไง? ไม่ตอบ

ทำไมจึงไม่ตอบก็ของบอกว่าเกิด ไม่ทัน ถ้าจะถามว่าตำรับตำราไม่มีรึ ก็ตอบว่าตำรานี่ซีทำยุ่ง เพราะเรียงชื่อพระพุทธเจ้าไม่เป็นไปตามลำดับ ในที่แห่งนี้เรียงแบบนี้ ที่แห่งโน้นเรียงแบบโน้น เป็นอันว่าเอาแน่นอนไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือใคร พูดไปก็เป็นเรื่องเถียงกัน ไม่ม่ประโยชน์ เอาละ เที่ยวกันลัดๆ ออกจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานเรามาแวะบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์กันก่อน

ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้ มีบริเวณล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว เป็นศิลานะ ศิลาอาสน์ อาสนะทำด้วยศิลา ใหญ่มาก แล้วก็รอบๆ นั้น ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือก็มีสวนสวย บริเวณกว้าง อันนี้เกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของพระอินทร์กับเพื่อนที่พากันปลูกต้นทองหลาง เข้าไว้ แล้วก็เอาหินมาวางเป็นแท่นไว้ในสมัยเป็นมนุษย์

พระอินทร์องค์นี้ก็คือมาฆะ มานพในสมัยนั้นปลูกเข้าไว้เพื่อตั้งใจว่าคนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่าง ทางเป็นระยะทางไกล มีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็น แล้วก็แท่นที่วางไว้เป็นแท่นหินจะได้นั่งพักให้สบาย หายเมื่อยหายขบแล้วก็เดินต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์ อานิสงส์ที่ท่านปลูกต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุดขึ้นมาพื้นที่วางเรียงรายอยู่รอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี่พูดถึงอานิสงส์ให้ฟัง ว่าการทำบุญน่ะไม่เสียเปล่า เวลาตายแล้วจะได้รู้ ว่าอะไรมันดีไม่ดี แล้วมาอีกที่หนึ่งมาเวชยันต์วิมาน เวชยันต์วิมานนี่เป็นวิมานใหญ่มาก เป็นที่ประทับของพระอินทร์แล้วก็มีวิมานรอบๆ เวชยันต์วิมานอีก ๓๒ หลัง รวมทั้งเวชยันต์วิมานเป็น ๓๓ หลังด้วยกัน วิมาน ๓๓ หลังนี้เกิดด้วยอำนาจอะไร? ก็เพราะว่าในสมัยนั้น ท่านมาฆะมานพกับพวกอีก ๓๒ คนรวมเป็น ๓๓ คนด้วยกัน เห็นว่าการสร้างต้นไม้ไห้เป็นที่พักมีความสบายจริงแล แต่ทว่าสบายไม่พอ สร้างศาลา คนเดินไปเดินมานี่ เขาจะได้พัก เขาจะได้นอนสบาย ก็เลยร่วมมือร่วมใจกันสร้างศาลาขึ้นเต็มหลัง เวลานั้น ก็มีนายช่างอีกคนหนึ่ง มีช้างตัวหนึ่งที่พระราชาให้เป็นพาหนะ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นที่พักของคนเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ คนก็ได้พักพาอาศัย

เพราะอานิสงส์แห่งการสร้างศาลาเป็นสาธารณประโยชน์ คณะของท่านพากันตายหมด (คงไม่ใช่ตายพร้อมกัน) ท่านมาฆะมานพตายขึ้นมาเป็นพระอินทร์ มีเวชยันต์วิมานตั้งอยู่กลางเพื่อน เพื่อนอีก ๓๒ คนขึ้นมาเป็นเทวดา มีวิมานล้อมรอบเวชยันต์วิมานคนละหลังๆ แทนที่จะเข้าไปอยู่ยัดเยียดกันหลังเดียว ๓๓ คน เปล่า เมืองเทวดานี่ให้กำไรมาก สร้าง ๑ หลัง ๓๓ คน เมื่อตายไปเป็นเทวดาแล้วก็ได้ ๓๓ หลัง แล้วสำหรับนายช่าง วัฒกีคือนายช่าง ก็มาเกิดเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร มีวิมานอีกหลังหนึ่ง สำหรับช้างที่ช่วยเป็นพาหนะบรรทุกไม้ ลากไม้ เป็นเครื่องทุนแรง ก็มาเกิดเป็นเทวดามีนามว่าเอราวัณเทพบุตร นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วก็จำอานิสงส์ไว้ จะได้เป็นประโยชน์ว่าการทำความดีน่ะไม่เสียผล ไม่ใช่ทำบุญสูญเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน

ตานี้นอก จากเวชยันต์วิมานแล้ว เหลียวไปดูอะไรข้างหน้า ทางด้านทิศใต้ ข้างหน้านั้น เราจะพบสระโบกขรณี นี่เรามองข้างสวนจิตรลดาวันไปเสียหน่อยหนึ่งก่อน ข้ามไปตั้งใจข้ามนะ ไม่ใช่ลืม มองข้ามสวนจิตรลดาวันไปเห็นสระโบกขรณี เป็นสระใหญ่มาก มีท่าเป็นที่ลงมากมาย น้ำในสระก็แพรวพราวใสสะอาด มองแล้วคล้ายๆ กับแก้วต้องแสงอาทิตย์แลดูระยิบระยับ สระนี้เกิดขึ้นได้จากผลอะไร จะขอพูดให้ฟังอย่างย่อๆ คือเกิดขึ้นจากอำนาจของท่าน ๓๓ คนนั่นแหละ มีมาฆะมานพเป็นประธาน พากันสร้างศาลาแล้วมาคิดว่า คนเรามานั่งที่ศาลา เดินมาร้อน ต้องการน้ำ ปลูกต้นไม้ยังไม่พอ ทำแท่นนั่งสบายไม่พอ ทำศาลา ทำศาลาแล้วก็มาคิดต่อไปว่าคนที่มาพักศาลานี่เขาเดินร้อน เขาก็ต้องการน้ำ จะอาบน้ำอาบท่า จะกินน้ำก็ตามใจ จะได้เกิดความสบายให้มากขึ้น ท่านก็พากันปลูกสระ ขุดสระ พูดผิดไป สระนี่มันปลูกไม่ได้ หลวงตาแก่นี่อดเพ้อไม่ได้ พากันขดสระขึ้นให้เป็นที่อาศัยของบรรดาประชาชน ขุดแล้วมีตาน้ำ น้ำใสขึ้นมา คนที่มาพักที่ศาลาก็ได้อาบได้กินมีความสุข ฉะนั้น เมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายขึ้นมาเป็นเทวดา สระในเมืองมนุษย์ก็ตามมา แต่เป็นสระที่ใหญ่กว่า มีน้ำใสสะอาดกว่ามีความสุขสวยสดงดงามกว่า เป็นที่สบายของบรรดาเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายชอบเล่นน้ำในสระนี้ นี่ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้ชาย

ที นี้ ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้หญิงบ้าง ท่านมาฆะมานพในสมัยที่เป็นมนุษย์มีเมีย ๔ คน ความจริงท่านก็ทำถูกแล้วนี่นา ๔ ทิศ หรือว่าธาตุ ๔ มีเมียอยู่ ๔ คน คนต้นชื่อว่านางสุธรรมา คนรองชื่อว่าสุจิตรา คนรองมาอีกคนชื่อสุนันทา และคนสุดท้ายชื่อว่าสุชาดา เวลาที่ท่านทำบุญ อาศัยที่ท่านมีเมียมาก เมียคงจะทะเลาะกันมาก น่ากลัวนะ อดไม่ได้ ท่านคงจะรำคาญผู้หญิง เบื่อผู้หญิง คิดว่าต่อแต่นี้ไปเราทำบุญอะไรก็ตาม ไม่ให้ผู้หญิงร่วม เราจะไม่ขอร่วมกับผู้หญิงต่อไปเพราะสร้างความรำคาญไม่หยุดหย่อน ก็ปาไปมีเมียตั้ง ๔ คน แต่เพียงคนเดียวก็รำคาญหูทนไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว นี่ล่อเข้าตั้ง ๔ คนมันก็ยุ่งน่ะซี ในเมื่อท่านไม่ให้ทำ ท่านเมียใหญ่เขาฉลาด เมื่อนายช่างทำศาลายังทำไม่เสร็จดี ไปจ้างนายช่าง ๑ พันบาท บอกว่าทำช่อฟ้าให้ฉันทีเถอะ ไอ้ศาลานี่มันต้องใช้ช่อฟ้ามันจึงจะสวย ฉันให้แก ๑ พันบาท นายช่างก็ทำให้บอกว่าทำให้พอเหมาะกับศาลานะ แล้วสลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา เอาเข้าแล้ว มาแล้วผู้ชายมักอดเสียท่าผู้หญิงไม่ได้ สลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา นายช่างก็ทำให้ แล้วก็บอกว่าต่อไปสร้างศาลาเสร็จ ถ้าพวกผู้ชายเขาต้องการช่อฟ้าละก็แกอย่าทำให้นะ มาเอาช่อฟ้าของฉันนี่ไปใส่ จำไว้ให้ดี ฉันให้เงินพิเศษ ๑ พันกหาปณะ เงินนี่มันเข้าใครออกใครที่ไหน มาเจอะกันเข้ามันก็เป็นแบบนี้ นายช่างทำแล้วก็ปิดปากเงียบ เมื่อทำศาลาเสร็จบรรดามาฆะมานพกับเพื่อนฝูงก็จะทำช่อฟ้า นายช่างบอกทำไม่ได้ไม้มันสด ช่อฟ้าต้องมีไม้แห้งๆ ทำ ถ้าเอาไม้สดๆ ไปทำละก็มันจะเกิดเรื่อง เพราะว่าต่อไปช่อฟ้าแห้งมันจะมองดูไม่สวย ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นก็ไปหาซื้อ ที่อื่นก็ไม่มีขาย หาไปหามาก็หาไม่ได้ นายช่างก็แนะนำบอกบ้านของนางสุธรรมามีช่อฟ้า ท่านมาฆะมานพก็บอกว่าไปจอซื้อเขา เมื่อไปถึงนางสุธรรมาบอกไม่ขาย ถ้าไม่ให้ร่วมบุญร่วมกุศลไม่ขายแน่ ทีนี้ทำยังไง เมื่อซื้อเขาไม่ขาย ท่านมาฆะมานพก็ไม่ยอมรับ เพราะไม่อยากคบผู้หญิง ผู้หญิงยุ่ง นายช่างก็บอกว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต่อไปเมื่อบำเพ็ญบารมีดีแล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องบริจาคทาน ๒ ประการ คือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ถ้าหากว่าท่านมาตัดผู้หญิงเสียเวลานี้แล้วละก็อีตอนที่มีบารมีใกล้จะเต็ม ท่านก็จะขาดทาน ๒ ประการคือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไงๆ ท่านก็จะต้องคบผู้หญิงตลอดกาล

เป็น อันว่าท่านมาฆะมานพจนใจยอมรับ เอาช่อฟ้าของนางสุธรรมาไปสวมกับศาลาก็พอดี แต่ว่าตอนนี้ซิเสียที ๓๓ คนรวมทั้งช่างอีกคนหนึ่งกับช่างเป็น ๓๕ ทำกันเกือบตายไม่มีชื่อ ไปมีชื่อนางสุธรรมาเพียงคนเดียว ใครๆ ไป ใครๆ มาเขาก็เห็นเขียนชื่อนางสุธรรมา ศาลาสุธรรมา แล้วก็ศาลาสุธรรมานี่เป็นอำนาจบารมีของนางสุธรรมา เมื่อยางสุธรรมาตายจากคนก็มาเป็นชายาพระอินทร์ ศาลาหลังนั้นก็ตามขึ้นมา มีชื่อบนสวรรค์ว่าศาลาสุธรรมาเหมือนกัน แล้วก็เป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแท่นเป็นที่ประทับของพระอินทร์สวยสดงดงามมาก


เอา ละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเดี๋ยวก่อน ออกจากศาลาสุธรรมาไปก่อน ไปโน่นซิ ไปสวนจิตรลดาวันภรรยาคนที่ ๒ ไปดูสวนจิตรลดาวัน อ๋อ สวนจิตรเวลานี้พระเจ้าแผ่นดินประทับอยู่ที่เมืองมนุษย์ แต่ว่าคนละสวน ไปว่าถึงนางสุจิตรา คิดว่านางสุธรรมานี่เขาเป็นคนฉลาด เมื่อผัวทำศาลาเขาทำช่อฟ้า ก็ดีแล้วเราไม่มีโอกาส ผู้ชายไม่ชวนเรา แต่ว่าคนมาพักที่ศาลาก็ดี อาบน้ำก็ดี อาจต้องการความสวยงาม ความสดชื่นจากดอกไม้และใบไม้ ฉะนั้น นางจึงใช้คนไปปลูกสวนสาธารณประโยชน์ เมื่อต่างตายจากความเป็นคนก็มาเป็นชายาของพระอินทร์ เกิดมีสวนจิตรลดาวันขึ้นข้างสระโบกขรณี นี่ว่ากันถึงรายที่ ๒

คราว นี้ลัดๆ กันไปว่ารายที่ ๓ รายที่ ๓ คือนางสุนันทา นางสุนันทานี่เห็นนางสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ เธอก็เอาบ้าง บอกว่าไอ้คนที่มาตามทางมันอาจจะหิว ในเมื่อมีน้ำอาบ มีศาลาพัก มีดอกไม้ทัดทรง แต่ยังไม่มีผลไม้ นางจึงได้ปลูกสวนใหญ่มีผลไม้ทุกประเภทขึ้น ให้เป็นที่อาศัยของคนเดินไปและเดินมา เมื่อเดินมาหิวก็มากินลูกหมากรากไม้ได้หรือไม่อยากนั่งพักในศาลาจะไปเดิน เล่นในสวนก็ได้ เป็นที่สบายใจของคนทั้งหลายที่ผ่านไปผ่านมา เมื่อนางสุนันทาตายแล้วก็ขึ้นมาเป็นชายาของพระอินทร์ แต่ละคนก็มีวิมานคนละหลังๆ เหมือนกัน แล้วก็สวนสุนันทาก็ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน

เอา ละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับสกวันก็ดี ปารุสกวันก็ดี ไม่ปรากฏในบาลีว่ามาจากไหน หรือว่าปรากฏ แต่อาตมาไม่ทราบก็รู้ไม่ได้ เพราะค้นหนังสืออาจจะไม่หมด เป็นอันว่าพูดกันแค่รู้ ว่าอานิสงส์ของความดีทีทำในสมัยเป็นมนุษย์ ปรากฏผลเป็นดังนี้

เอา ละบรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูเวลามันก็ใกล้จะหมด หรือว่าย่องหมดไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ไม่ทราบ เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตามมาก็ดี หรือว่าอยู่ข้างล่างที่รับฟัง เวลานี้ท่องเที่ยวไปในดินแดนของพระอินทร์พลางๆ ก่อน วันพุธหน้าอาตมาจะมาพาท่านพุทธบริษัทไปชมต่อไป สำหรับวันนี้หมดเวลาแล้วก็ต้องขอลากลับ

ขอ บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟัง จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา สวัสดี. .

หลวงฤาษีลิงดำ หนังสือ ไตรภูมิ

ชั้นต่างๆ ของเทวดา


ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้พาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปนอนพักอยู่แถวภุมเทวดา สำหรับเรื่องราวของเทวดานี้ เห็นจะต้องรีบรวบรัดกันเสียแล้วบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เพระว่าตั้งใจไว้ว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน นี่ทำท่าดูลีลาว่าสัก ๑๐๐ ตอน ก็ไม่จบ ฉะนั้น ต่อจากนี้ก็จะขอรวบรัดเรื่องราวต่างๆ ให้จบลงตามกำหนดที่ตั้งใจไว้

สำหรับวันนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทดูเทวดาบนยอด ไม้กันบ้างดีกว่า ชมกันดูแหงนขึ้นไปดูบนยอดไม้ ต้นไม้ที่มีพุ่มสาขา จะเห็นวิมานต่างๆ แพรวพราวอยู่หมด ต้นไม้ต้นไหนมีสาขามาก ต้นนั้นมีเทวดามาก มีวิมานหลายวิมาน เทวดาพวกนี้ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เรียกว่า รุกขเทวดา สำหรับรุกขเทวดานี้ มีบุญมากกว่าภุมเทวดาหน่อยหนึ่ง คือมีวิมานปะยอดไม้เข้าไว้ แต่ความจริงไม่ใช่อาศัยต้นไม้ที่มีแก่นต่อไป อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า ต้นไม้ที่มีแก่นสูงเพียงคืบเดียว รุกขเทวดาก็ใช้วิมานอาศัยได้ อันนี้เป็นพุทธพจน์ จะขอนำเนื้อความย่อๆ ว่าทำบุญอะไรจึงได้เป็นรุกขเทวดามาเล่าให้ฟัง

ตัวอย่างก็มีว่า คนใช้ของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี มารับอาสาเป็นลูกจ้าง ครั้งแรกไม่ทราบว่าวันนั้นเป็นวันพระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันพระบ้านของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี แม้แต่เด็กก็ต้องรักษาอุโบสถ เขาไปทำงานอยู่ตลอดวัน กลับมาตอนเย็น เห็นคนอื่นไม่กินข้าว ทราบเนื้อความนั้นจากแม่ครัว ก็เลยขอสมาทานอุโบสถครึ่งวัน รักษาเฉพาะไม่กินข้าวเย็นแล้วก็ตลอดคืน อาศัยที่เขาทำงานหนัก ก็มีความหิวโหย เมื่อไม่ได้กินข้าวเย็น ตอนดึกลมก็กำเริบ ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีขอร้องให้กินข้าว เอาอาหารดีๆ ไปให้ แล้วก็บอกว่าวันอื่นมีถมไปที่เราจะรักษาความดี แต่ว่าชายคนนี้บอกว่า ความดีเพียงครึ่งวันข้าพเจ้ายังทำไม่ไหว จะยอมให้ศีลขาดทำไม่ได้เพราะความดีไม่เต็มวัน แต่ครึ่งวันแค่นี้ ถ้าปล่อยให้ศีลขาดก็จะเลวเกินไป เห็นอันว่าแกไม่ยอมกินข้าว ยอมอดข้าวตายดีว่ายอมศีลขาด พอตอนดึก ปรากฏว่าแกตาย เมื่อตายแล้ว ดวงจิตคือวิญญาณหรืออทิสมานกาย กายที่สิงอยู่ในกายเนื้อก็ล่องลอยไปเป็นเทวดา เป็นรุกขเทวดา

ตัวอย่างมีเท่านี้ เป็นอันว่า ภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เป็นประเภททำบุญไม่เต็มที่ ภุมเทวดาประเภททำบุญสักแต่ว่าทำ เช่นชาวบ้านเขาไปวัดก็ไป ใส่บาตรก็ใส่ไปรักษาศีลก็ไป แต่ไปตามประเพณีแบบปู่ย่าตายายทำมาก่อนๆ เป็นสำคัญ แต่ว่าบุญนั้นก็ยังช่วยให้เป็นเทวดา สำหรับรุกขเทวดานี้ ตั้งใจทำความดีจริง แต่ว่าทำไม่ครบไม่ถ้วน นี่ว่ากันเท่านี้นะ เพราะว่าจะต้องลัดกันแล้ว

ต่อจากนี้ไปก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปเที่ยวเมือง เทวดา ด้านอากาศเทวดากันดีกว่า ออกเดินตามอาตมามา เวลานี้เราอยู่แดนของมนุษย์หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก เดินไปในสายที่เราไปเมืองนรก เดินตามมา นี่สมมติว่าตอนนี้มาถึงทางแยกแล้ว เห็นเทวดาอินไหม?

ท่านเทวดาอินยืนยิ้มแย้ม แจ่มใส หน้าเบิกบาน รูปร่างหน้าตาสวย ทรงเครื่องประดับเต็มที่ ยกมือขึ้นไหว้ถามว่า พระคุณเจ้าจะไปทางไหน ก็เลยบอกว่าวันนี้จะไปเที่ยวอากาศเทวดาเมืองสวรรค์ ท่านก็ชี้ บอกว่าถ้าจะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ นี่เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออกไปด้านซ้ายมือ ทางขึ้นเนินแต่ความจริงคนที่ได้มโนมยิทธิเขาไม่ต้องอาศัยเนินนี้ก็ได้ ไปทางลัดปั๊บเดียวก็ถึง แต่ว่าสายนี้เดินกันตามลำดับ

ถ้า จะไปพรหมต้องเลี้ยวขวามือ ถ้าไปนรก ตรงไป เป็นอันว่าขอบใจท่านเทวดาอิน วันนี้ขอไปเที่ยวเมืองสวรรค์ ไม่ไปนรกแล้ว เพราะว่าเมื่อนรกไปเที่ยวกันมาแล้ว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทกับพระคุณเจ้าที่เคารพ ตามกระผมมา เราเลี้ยวซ้ายขึ้นเนินทีละน้อย ทางขาวโพลนเป็นทางใหญ่ นี่เราเดินมาได้ประมาณสักครึ่งทาง สมมติกันนะ เที่ยวด้วยปากนี้มันไม่ยาก เที่ยวทางแบบนี้ ถามว่ามาจากไหน จะเอาใครเป็นพยาน ก็บอกเอาพระร่วงเป็นพยาน เพราะไตรภูมิพระร่วงความจริงท่านเขียนไว้ดี พระร่วงไม่ได้เขียน พระเขียนให้ แต่ว่าที่พูดนี่ ก็ไม่ได้อาศัยไตรภูมิพระร่วงจรกระทั่งเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ใช้หลักวิชาต่างๆ ตามที่ค้นคว้าพบมาประกอบ

เวลานี้เราขึ้นเนินมาถึงกึ่งทาง เนินที่ขึ้นมานี้ เราเรียกกันว่าภูเขาพระสุเมรุ ในระหว่างกึ่งทางนี้ เราจะมองไปดูรอบๆ มองไปทางด้านทิศตะวันออกเห็นวิมานแพรวพราวนับเป็นจำนวนแสน ดินแดนนี้เป็นดินแดนของเทวดามีนามว่า

ท้าวธตรฐเป็น จอมเทวดาและมีอินทกะ คืออุปราชอยู่ ๑,๐๐๐ ท่าน และมีบริวารเป็นคนธรรพ์ คำว่าคนธรรพ์นี่เป็นชื่อของเทวดาเหล่าหนึ่ง เรียกว่าเป็นชื่อของทัพๆ หนึ่งอยู่หลายแสนท่านด้วยกันเรียกว่านับเป็นแสนๆ อาจจะเกิน ๑๐ แสนหรือ ๑๐๐ แสนก็ได้ มองไปทางด้านทิศใต้เป็นกลุ่มวิมานอีกกลุ่มหนึ่งนับจำนวนแสนๆ เหมือนกัน วิมานแถวนี้มีท่านเจ้าของหรือ

ท่านผู้เป็นใหญ่มีนามว่าท่านวิรุฬหก และอินทกะคืออุปราช ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน มีกุมภัณฑ์เป็นบริวารมีจำนวนนับได้แสน ถ้าเรามองไปด้านทิศใต้จะมองเห็นวิมานเป็นจำนวนนับแสนเหมือนกัน ดินแดนแห่งนี้

ท่านผู้เป็นใหญ่มีนามว่าท่านท้าววิรูปักษ์ มีอินทกะ คืออุปราชประมาณ ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน แล้วก็มีนาคเป็นบริวารนับจำนวนแสนๆ ทว่านาคในที่นี้ไม่ใช่นาคที่เลื้อยคลาน เป็นเทวดามีนามว่านาค เขาเรียกว่ากลุ่มนาค เป็นนามของกองทัพ ทีนี้เรามองไปทางด้านทิศเหนือ มีวิมานนับจำนวนแสนเหมือนกัน แถวนี้หรือในสถานที่นี้

ท่านผู้เป็นผู้ใหญ่มีนามว่าท้าวเวสสุวัณณ์ มีอินทกะคือ อุปราช ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน แล้วก็มียักษ์เป็นบริวารนับเป็นจำนวนแสนๆ คำว่ายักษ์ในที่นี้แปลว่า ผู้อันบุคคลควรบูชาหรือแปลว่าเทวดา ไม่ใช่ยักยอกหรือว่ายักษ์ทศกัณฐ์ ยักษ์ประเภทนี้ไม่มีเขี้ยว มีรูปร่างหน้าตาสวยกว่าคนมาก เป็นเทวดาที่มีบุญญาธิการมาก รวมความว่าเทวดา ๔ เหล่าหรือ ๔ ด้าน เป็นกองทัพ ๔ กองทัพ

ป้องกันเวชยันต์วิมาน คือป้องกันชั้นดาวดึงส์ เพราะว่าเทวดากับพวกอสุรกายไม่ถูกกัน อสุรกายในสมัยก่อนอยู่ดาวดึงส์ แล้วก็ถูกพวกเทวดาขับไล่เพราะว่าอสุรกายเป็นอันธพาล ต้องมาอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ทีนี้บรรดากองทัพ ๔ เหล่านี้ก็มาอยู่ถึงกลางเขาพระสุเมรุ เพื่อเป็นการป้องกัน ถ้าอสุรขึ้นมาเมื่อไรก็รบกันเมื่อนั้น

นี่ เป็นเรื่องของเทวดาเขาจะรบกันจริงหรือไม่จริงก็ไปดูเรื่องเทวดาอสุรกาย สงคราม หาที่ไหนไม่ได้ก็ไปดูในพระธรรมบทได้มีอยู่ เรื่องนี้ขอยกไปเป็นอันว่าเรามาพูดกันถึงเรื่องราวของเทวดา ๔ เหล่านี้ ความเป็นมาเป็นยังไง เทวดาทั้ง ๔ เหล่าหรือว่ากองทัพทั้ง ๔ กองทัพ มีท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวัณณ์ เป็นจอมทัพหรือแม่ทัพใหญ่อยู่ แต่ว่าเทวดา ทั้งหมดปรากฏมาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ ท่านบอกว่านอกจากทาน ศีล ภาวนา แล้ว ต้องมีบทภาวนาได้ฌานทุกท่านจะเป็นฌานที่เท่าไรก็ตามแต่คงจะไม่ใช่ฌาน ๔ คงจะไม่ถึงฌาน ๔ นะ เรียกว่าท่านที่จะมาเกิดในชั้นนี้เป็นเทวดาทุก ท่าน เป็นเทวดาอยู่มีฌานทุกท่าน แล้วก็เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย จึงมาเป็นเทวดากองทัพของพระอินทร์ เรียกว่าเป็นเทวดาทหาร สำหรับเทวดาที่อยู่ชั้นจาตุมหาราชนี้ก็ดี ชั้นนี้เรียกว่าชั้นจาตุมหาราช คือ มีพระราชา ๔ องค์แล้วก็เทวดาเป็นรุกขเทวดาหรือภุมเทวดาก็ดี ท่านพุทธบริษัท อย่าไปเหยียดหยามท่านนะทุกท่าน และมีจำนวนมากที่เป็นพระอริยเจ้า มีพระโสดา สกิทาคา อนาคา ก็มี นี่บรรดามนุษย์ทั้งหลายอย่าเบ่ง อย่าอวดตัวว่าดีกว่าเทวดา ว่าเทวดาไหว้ไม่ได้ เคารพไม่ได้ บูชาเทวดาไม่ได้ เราถึงพระพุทธเจ้าแล้ว แต่รู้หรือเปล่าว่าเทวดา แม้แต่ภุมเทวดา ที่เป็นพระอริยเจ้าก็เยอะ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เป็นพระอริยเจ้า ท่านก็มีความดี รับผลของความสุขคือมีรับผลของหิริและโอตตัปปะ

พระ หลายท่านหรือว่าส่วนมากเคยพูดว่าเวลาเราบวชพระนี่ดีเทวดาไหว้เรา พระประเภทนี้เข้าใจผิด ลูกศิษย์อาตมาเองเคยโดนมา คุยแล้วแบบนี้ แต่พอเจริญพระกรรมฐานจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ ก็โดนเทวดายกบาทาให้ บอกว่าส้นตีนนี่แน่ะ เทวดาไหว้ แล้วพอตอนเช้าเขาเข้ามาหาขอกว่าเทวดาไม่มีมรรยาท ถามว่าทำไม บอกว่าเวลานั่งพระกรรมฐานยกบาทาให้ได้ แล้วบาทาก็โตกว่าตัวตั้งเยอะ ก็เลยบอกกับเธอเข้าใจผิด

คนที่เขาจะไหว้ นั่นน่ะ คนที่เทวดาเขาจะไหว้จะต้องมีความดีเสมอเขาหรือว่ามีความดีเกินกว่าเขา พวกเราบวชเข้ามาเป็นพระไม่ใช่ว่าจะมีความดี เอาหัวก็ตาม โกนหัวอย่างพระห่มผ้าเหลืองอย่างพระ แต่ว่าจิตใจเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือว่าสัตว์นรกก็ถมไป เพราะไม่ตั้งอยู่ในธรรมวินัย ไม่ประพฤติปฏิบัติ มีความดีพอสมควรอย่างเทวดา พระที่ไม่มีหิริและโอตตัปปะ คือไม่มีความอายต่อบาป ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป พระบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนให้ละ แต่กลับมาสะสมทรัพย์สมบัติ อยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สรรเสริญ อยากได้สุขอย่างฆราวาส บางท่านก็ทำตัวเลวกว่าฆราวาส อย่างนี้เทวดาเขาไม่ไหว้ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย

เรื่อง บุญที่ทำให้เกิดมาเป็นเทวดาชั้นนี้ รู้กันเพียงย่อๆ ว่านอกจากทานศีล ต้องมีภาวนาฌานและเวลาตายๆ นอกฌาน คือไม่ได้เข้าฌานตาย มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ เมื่อเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้แล้วก็บำเพ็ญฌานบารมีต่อไป ฌานเข้าเต็มที่ รอเวลา ๕๐๐ ปีทิพย์ คือเทวดานั้นมีอายุ ๕๐ ปี คือ ขอโทษ ๕๐ ปีของเราเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน และอายุของเขาจริงๆ ๕๐๐ ปีทิพย์ เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์แล้วเทวดาชั้นนี้ทั้งหมด ถ้าไม่ต้องการไปเกิดเป็นคนก็ไปเกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจของฌานที่บำเพ็ญจนครบ ถ้วนบริบูรณ์


สำหรับหน้าที่ของ เทวดาชั้นนี้คือควบคุมความประพฤติของมนุษย์ มีภุมเทวดาเป็นเจ้าหน้าที่คอยจดความดีความชั่วของตน ใครไปทำความดีความชั่วที่ไหนก็ตามพระภูมิจด เคยพบในสมัยที่ป่วยอยู่กรมแพทย์ทหารเรือ วันนั้นตี ๒ ปรากฏว่าเห็นคนเดินมาคนหนึ่ง ถามว่าใคร บอกว่าเป็นภุมเทวดา ถามว่ามาทำไม บอกว่ามาดูความดีและความชั่วของคน ว่าใครจะเป็นยังไงบ้าง

ถามแกเข้าแกบอกว่า มันเป็นหน้าที่จะต้องมาจด จดความดีและความชั่ว อันนี้ตามบาลีก็มี ท่านบอกว่าภุมเทวดาเป็นคนจดตามเขตที่ตนอารักขามีหน้าที่แล้วก็ไปส่งให้อากาศ เทวดา คืออากาศเทวดาของจาตุมหาราชชั้นพลทหารต่อไปเทวดาชั้นพลก็ไปส่งให้นายหมวดนาย หมู่ แล้วก็มอบให้กับท่านท้าวมหาราช

ท่าน ท้าวมหาราชก็คัดบัญชี ใครทำบาปกันไว้ประเภทของบาป ใครทำบุญกันไว้ประเภทของบุญประเภทของบาปก็ให้เทวดา ๔ องค์ที่เรียกว่าเทวทูตนำไปส่งสำนักของพระยายม ตัวท่านท้าวมหาราชเองพอเวลาวันพระก็นำไปสู่ที่ประชุมของเทวดาบนสวรรค์ ดาวดึงส์ เมื่อเทวดามาประชุมกันที่เทวสถานหรือศาลาสุธรรมา

ซึ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทจะทราบเรื่องราวนี้ในวันพุธหน้า บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อทราบว่าคนทำบุญมากก็ดีใจ แต่หน้าที่ที่ท่านเทวดาไปส่งคืนจาตุมหาราช ท่านนำเรื่องราวความเป็นมาของมนุษย์หรือความประพฤติของมนุษย์ที่ทำบุญไปส่ง ยั้นไปส่งกับปัญจสิกขเทพบุตร สำหรับปัญจสิขเทพบุตรนี้เป็นชื่อโดยตำแหน่ง คือเดิมทีเดียวท่านเทวดาองค์หนึ่งในสมัยที่เป็นมนุษย์มีแกละอยู่ ๕ แกละ มีจุกบนหัวน่ะ ๕ จุก ทีนี้ทำความดีตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เขาให้นามว่าปัญจสิกขเทพบุตร มีหน้าที่เป็นเลขาของพระอินทร์

ต่อมาท่านองค์นั้นตายไปแล้ว เวลานี้ไปนิพพานแล้ว คนอื่นมารับหน้าที่นั้นก็เลยให้นามว่าปัญจสิกขเทพบุตรเหมือน กัน ท่านปัญจสิกขเทพบุตรก็นำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้วก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้นให้มวลหมู่เทวดา ที่มาประชุมกันทราบ ถ้าระหว่างวันพระไหนมีคนทำบุญมาก

บัญชีบุญบัญชีกุศลมากบรรดาเทวดาทั้งหลายก็ดีใจ กล่าวกันว่าต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว เพราะอาศัยความดีใจปลื้มใจทีมีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำทั้งเทวดาและนางฟ้า ความจริงสวยจริงๆ นะ น่าดู น่าอยู่ น่าเป็นเทวดา แต่วันพระไหนถ้าบังเอิญ เป็นการบังเอิญนะ คนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลายได้ทราบจาก

บัญชี ของท้าวมหาราชก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตามๆ กัน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท หน้าที่ของบรรดาท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ที่มีหน้าที่จะต้องทำอย่างนี้ นี่เราว่ากันอย่างลัดๆ นะ เรียกว่าคุยกันนานไม่ได้ อย่าดูกันนานเลย เพราะเวลามันกระชั้นเหลือเกิน เหลืออีก ๒-๓ ตอนจะหมดกำหนดที่พูดไว้ว่าจะทำเป็นเพียง ๒๔ ตอน ถ้าขืนพูดละเอียดละก็ ๑๐๐ ตอนมันก็ไม่จบ เพราะว่าเรื่องราวของไตรภูมินี้จะเป็นหนังสือ เวลานี้ ท่าน พล อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ กำลังลอกเป็นตัวหนังสือเป็นตอนๆ ท่านเจ้ากรมคนนี้เก่งจริงๆ เก่งมาก หนังสือที่ออกไปแล้วทุกฉบับท่านลอกจากเทปบันทึกเสียงลงเป็นตัวหนังสือ ทำงานได้เร็วมาก เขียนหนังสือก็สวย คนประเภทนี้ได้กำไร เพราะจัดว่าเป็นเหตุของธรรมทานอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่า สัพพทานัง ธรรมทานังชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ก็แลท่านเจ้ากรมนี่เป็นผู้ประกอบด้วยวิริยะและอุตสาหะ และทำงานได้รวดเร็วมาก หายากที่จะทำได้แบบนี้

คน ประเภทนี้ถ้าตายลงนรกก็ซวยเต็มที และก็เป็นเรื่องราวต่อไป ข้างหน้ามันมีอยู่ว่านักเจริญพระกรรมฐานทั้งหลายส่งจดหมายกันมาไม่รู้ว่ากี่ ฉบับ เวลานี้ก็คั่งเต็มที่ไม่ได้ตอบให้ใครทราบต่างคนต่างก็ถามว่าการปฏิบัติพระ กรรมฐานตามแนวที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน จะเอาแนวจริงๆ กันมีเป็นประการใดบ้าง ถ้าจะตอบก็ตอบไม่ไหว เวลาไม่มี และอีกประการหนึ่งมีหลายท่านด้วยกันส่งเทปมา บอกขอให้ช่วยบันทึกด้วยเถอะ จะเอาไปให้คนฟังกันในสำนักงานของตน

นี่ก็เหมือนกัน งานการก็มีทุกอย่าง วัดวาอารามก็สร้างไม่เสร็จ ที่สร้างมาแล้วคิดว่ามันจะพอ เวลานี้พอไม่ได้เสียแล้ว คนมามากเต็มไม่มีที่พักอาศัย ในที่สุดเป็นยังไงก็ต้องสร้างใหม่ เริ่มเหนื่อยใหม่ต่อไปใหม่ เป็นอันว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ท่านทั้งหลายที่ถามถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระกรรมฐาน ว่าทำยังไงจึงจะถูกต้องตามพระพุทธพจน์ อันนี้อาตมาจะนำเรื่องราวของอุทุพลิกาสูตรมาบันทึกให้บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังและก็เพื่อไม่ให้เสียเวลาสำหรับท่านทั้งหลายที่ไม่ได้ส่งเครื่องบันทึก เข้าไว้

หลังจากเรื่องราวของไตรภูมิจบก็จะ ออกอุทุมพลิกาสูตรเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติพระกรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันกับนิโครธปริพาชก จะพูดให้ฟังเต็มเรื่องโดยละเอียดเวลานี้ คุณหมดประจวบกับคุณยุพยงแห่งร้านวรรณเวช อำเภอสรรค์บุรี ส่งเทปมาตั้งปึกเบ้อเร่อก็ยังไม่มีโอกาสจะทำให้ ก็จะทำพร้อมๆ กันไป คือ บันทึกให้ท่านแล้วก็บันทึกออกสถานีด้วย มิฉะนั้นเวลามันไม่มี

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง นี่เรามาชมเรื่องจาตุมหาราชกันพอสมควรแล้ว เดินให้มันลัดให้มันเร็วเข้า วันนี้อย่าย่องเลยวิ่งดีกว่า แต่อย่าวิ่งให้เร็วนักนะ คนที่เดินมาด้วยกันน่ะคนแก่มีเยอะ เดี๋ยวจะหกล้มจมคว่ำ จะล้มไปปากคอจะแตก เดินต่อขึ้นไปอีกครึ่งทางจะถึงจุฬามณีเจดีย์สถาน

อัน เป็นที่ถวายนมัสการของบรรดาเทวดาและพรหมหรือว่าท่านที่ได้ฌาน หรือว่าพระทั้งหลายที่ตายแล้วไปเกิดในที่ไม่ตายอีก นั่นก็ต่างพากันมาไหว้ ในระหว่างกึ่งกลางนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทางซ้ายมือจะเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งแลดูเป็นแก้ว แพรวพราวไปทั้งต้น มีสาขาใหญ่ มีแท่นน้อยๆ วางอยู่โคนต้นไม้ แท่นนี้มองดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ความจริงแล้วนั่งกี่คนก็ไม่เต็ม

เมืองเทวดานี่มีแปลกอยู่อย่างหาอะไรพอเหมาะพอดีไม่ได้ หมายความว่าหาอะไรเล็กไม่ได้ของไม่โตแต่คนไปมากนั่งไม่เต็ม อันนี้เป็นของแปลก ต้นไม้ต้นนี้กล่าวกันว่าเกิดขึ้นมาได้ด้วยอำนาจของท่านมาลาพาลีเทพบุตร ใน สมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านชอบปลูกต้นไม้เป็นสาธารณประโยชน์ เมื่อปลูกต้นไม้แล้วก็ทำเก้าอี้บ้าง ทำเตียงบ้าง ทำแท่นบ้าง เอาหินมาว่าเป็นที่นั่งสำหรับคนจะได้นั่งพัก ท่านทำแล้วท่านไม่ประสงค์ค่าจ้างรางวัล

เรื่อง การตอบแทนใดๆ หวังให้คนเดินทางมาจากที่ไกลได้อาศัยนั่งร่มให้สบายมีความร่มรื่นจะได้พัก อาศัย เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้าดูเวลาแล้วมันก็เหลืออยู่อีกนิดเดียว ถ้าเราจะเดินทางกันต่อไปก็คงจะไม่ไกลนัก ไหนๆ ก่อนจะหยุดก็ขยับเดินทางไปอีกนิด เดินไปอีกครึ่งทางก็ขึ้นไปถึงบันใดที่จะขึ้นจุฬามณีเจดีย์สถาน อันเป็นสถานที่นมัสการของบรรดาเทวดาและมนุษย์ที่ได้ฌาน ขึ้นหรือไม่ขึ้น ลองขึ้นสักนิดไหม ดูบันไดซิท่านพุทธบริษัท จะเห็นบันใดทองแล้วประดับประดาไปด้วยแก้วพราวพราย

แหงนขึ้นไปข้างหน้าไปดูนั่นซิ รอบๆ ทาง รอบๆ ของจุฬามณีเป็นกำแพงทองคำ และก็แพรวพราวไปด้วยแก้ว พระจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นเจดีย์มีสัณฐานกลมสูงตระการตา มีธงหลากสีหลายประการ มีธงมากมายหลายประเภทขึ้นอยู่ แล้วพระจุฬามณีเจดีย์สถานก็มีแก้ว ๗ ประการประดับทั้งองค์ คือเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งหมด เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้หมดเวลาแล้ว พักกันตามบันใดพระจุฬามณีเจดีย์สถานกันก่อน อีก ๗ วัน คือวันพุธหน้าค่อยเดินทางต่อไป

สำหรับวันนี้หมดเวลาอาตมาก็ขอกลับวัดสักนิดหนึ่งก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับ ฟังทุกท่าน สวัสดี. .


หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง หนังสือไตรภูมิ