Sunday, September 2, 2012

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๓


มากล่าวถึงอุรุเวลากัสสปกับพระบรมศาสดากันต่อไป
พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในโรงเพลิงแห่งนั้นจวบจนกระทั้งเวลาผ่านไปใกล้สนธยา จึงได้เสด็จออกจากโรงเพลิงไปยังป่าใหญ่ใกล้กับอาศรมของอุรุเวลากัสสป ทรงเลือกเอาบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่งเป็นที่สถิตย์เจริญกรรมฐานภาวนานุโยค

ครั้งล่วงเข้าสู่ราตรีสมัยเป็นลำดับ ท้าวจาตุโลกบาลมหาราชทั้ง ๔ ก็ลงจากสวรรค์มาเฝ้าพระบรมโลกนาถเจ้า ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ได้เปล่งพระรัศมีโอภาสสว่างไสวไปทั่วทั้งราวป่าพนาสณฑ์ ครั้นถึงเวลาเช้าอุรุเวลากัสสปได้ไปหาพระบรมศาสดาแล้วทูลว่า

“นิมนต์พระสมณะไปฉันภัตตาหารเถิด ข้าพเจ้าตกแต่งไว้ถวายเสร็จแล้ว แต่เมื่อคืนนี้เห็นพระรัศมีสว่างไสวไปทั่วราวป่าพนาสณฑ์มณฑลสถาน เป็นบุคคลผู้ใดฤา มาสู่สำนักนมัสการพระสมณะหนอ”

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสบอกว่า
“ท้าวจาตุมหาราชาทั้ง ๔ ลงมาสู่สำนักตถาคต เพื่อจะฟังพระสัทธรรม”
ครั้งนั้นแล อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษีผู้บูชาไฟเป็นสรณะ ได้สดับดังนั้นก็สดุ้งใจ ดำริคิดว่า “พระมหาสมณะองค์นี้มีอานุภาพมาก ท้าวจาตุโลกบาลทั้ง ๔ ยังลงมาสู่สำนัก แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระสมณะองค์นี้จะเป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมาก็หามิได้”

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาทำภัตกิจ (ฉันภัตตาหาร) ที่อาศรมของอุรุเวลากัสสปเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับราวป่าที่เดิมอันเป็นสถานเจริญสุขวิหารธรรม ครั้นราตรีกาลมาถึงอีก ท้าวโกสีย์สักกเทวราช (พระอินทร์) ก็ลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาถวายนมัสการแล้วยืนอยู่ข้างหนึ่งเปล่งรัสมีสว่างไสวดุจกองไฟใหญ่ อันไฟโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์ยิ่งกว่าราตรีก่อน (เหตุที่เทวดามเหศักดิ์ยืนถวายบังคมโดยไม่ยอมนั่งลงนั้น เป็นเพราะว่าถ้านั่งลงเมื่อใดก็จะเกิดสภาวะทิพย์ มีวิมานทิพย์มารองรับเมื่อนั้น จึงมิกล้านั้งลงเพราะเป็นการไม่สมควร)

ครั้นถึงเพลารุ่งเช้า อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษีผู้ชอบเกล้าผมมุ่นเป็นมวยขึ้นสูงคล้ายใส่ชฎา ก็เข้าไปหาพระพุทธองค์อีก เพื่อถวายภัตตาหารเหมือนเช่นเคย แล้วทูถามด้วยความสงสัยอีกว่า “เมื่อคืนนี้ผู้ใดมาสู่สำนักพระสมณะเจ้า จึงมีรัศมีสว่างไสวยิ่งกว่าคืนก่อน”

พระบรมศาสดามีพุทธฎีกาตรัสว่า “ท้าวโกสีย์สักกเทวราช ลงมาสู่สำนักตถาคตเพื่อฟังธรรม” อุรุเวลากัสสปได้สดับดังนั้นก็ดำริดุจคราวก่อน พระพุทธองค์ก็เสด็จไปเสวยภัตตาหารที่สำนักอาศรมชฎิลฤาษี แล้วทรงกลับมาสู่ป่าใหญ่ที่ประทับ

ครั้นราตรีกาลมาถึง ท้าวสหัมบดีมหาพรหม ก็ลงมาจากสวรรค์พรหมโลกมาถวายนมัสการสมเด็จพระบรมครู แล้วเปล่งรัศมีของพรหมสว่าไสวยิ่งขึ้นไปกว่าราตรีก่อนๆ ครั้นรุ่งเช้าอุรุเวลากัสสปก็ไปทูลอาราธนาฉันภัตตาหารตามปกติ แล้วทูลถามเหมือนวันก่อน พระพุทธองค์มีพุทธฎีกาตรัสตอบว่า “เมื่อคืนนี้ ท้าวสหัมบดีมหาพรหมลงมาสู่สำนักเรา เพื่อฟังธรรม” อุรุเวลากัสสปก็ดำริคิดเหมือนคราวก่อน หลังจากพระพุทธองค์เสด็จไปเสวยภัตตาหารเสร็จแล้วก็กลับคืนสู่สำนักในป่าตามเดิม

ในวันรุ่งขึ้นเป็น วันมหายันต์ คือเป็นวันที่ชนทั้งหลายจะมาทำบุญประเพณีนำเอาข้าวปลาอาหารเป็นอันมากมาถวายแก่ อุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษี อุรุเวลากัสสปได้ครุ่นคิดแต่เมื่อคืนแล้วว่า “วันพรุ่งนี้ มหาชนจะนำเอาอาหารอันโอชะประณีตนานาชนิดมาสู่สำนักของเรา ถ้าพระมหาสมณะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้มหาชนได้เห็นเป็นมหัศจรรย์ ลาภสักการะทั้งหลายก็จะหลั่งไหลไปสู่เธอ ทำให้อาตมาเสื่อมสูญจากลาภสักการะเหล่านั้นเป็นแน่แท้ อาตมาจะทำอย่างไรหนอ ที่จะมิให้พระมหาสมณะออกจากราวป่ามาสู่สำนักเราได้ในวันพรุ่งนี้”...

No comments:

Post a Comment