Sunday, September 2, 2012

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอบที่ ๗


ส่วน คยากัสสป ผู้น้องคนสุดท้องนั้นมีหมู่ศิษย์ ๒๐๐ คนเป็นบริวาร สร้างอาศรมสำนักอยู่ ณ คุ้มน้ำต่ำลงไปอีกไม่ไกลนัก เมื่อเห็นเครื่องบริขารชฎิลฤาษีผู้พี่ทั้งสองลอยตามแม่น้ำมา ก็คิดสงสัยเป็นกำลัง จึงพาบริวารฤาษีศิษย์ทั้งสองร้อย มาสู่สำนักนทีกัสสปถามไถ่เรื่องราวก็ได้ทราบความจริงว่า “การบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชฎิลนุ่งห่มหนังเสือสวมชฎานั้น แม้จะสำเร็จสิทธิโยคีมีฤทธิ์เดช แต่ก็ยังสู้ฤทธิ์เดชของพระภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ได้ ซึ่งเป็นทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพานได้อย่างถูกต้อง”

ด้วยเหตุนี้เอง คยาดาบส ผู้น้องคนสุดท้องก็บังเกิดศรัทธาความเลื่อมใส จึงพาบริวารทั้งสองร้อยคน เปลื้องบริขารชฎิลทิ้งลงสู่แม่น้ำเนรัญชลามหานทีจนหมดสิ้น แล้วดำเนินไปสู่สำนักพระบรมสาสดาทูลขออาราธนาอุปสมบท เป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
องค์พระศาสดาจึงประทาน “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ดุจเดียวกันกับเหล่าภิกษุผู้พี่ทั้งสอง แล

ลำดับนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จพุทธดำเนินพาเหล่าชฎิลฤาษีซึ่งบัดนี้ได้ อุปสมบทจนหมดสิ้นแล้วแต่ยังมิได้บรรลุธรรม ไปยังคยาสีสะประเทศ แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาบท อาทิตตปริยายสูตร ให้สดับ พอจบลงพระภิกษุสงฆ์จำนวนพันกว่ารูปนั้น ก็บรรลุพระอรหันต์จนหมดสิ้น

จากนั้นพระบรมศาสดาทรงพาเหล่าพระอรหันต์เจ้า เสด็จพุทธดำเนินมายังกรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จออกมาเฝ้า ผู้คนชาวพระนครต่างพากันแตกตื่นมาคอยดูกันอย่างเนืองแน่น พากันร้องตะโกนถามเซ็งแซ่ว่า “พระพุทธเจ้าเป็นศิษย์ของพระอุรุเวลากัสสป หรือพระอุรุเวลากัสสปเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้ากันแน่ ? ”

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุการณ์โกลาหลอลหม่านดังนี้ ก็มีพุทธประสงค์จะแสดงให้มหาชนได้รับทราบตามความเป็นจริง จึงมีพุทธวาจาตรัสถามพระอุรุเวลากัสสปต่อหน้ามหาชนทั้งหลายว่า “เหตุใดพระอุรุเวลากัสสปจึงละทิ้งลัทธิบูชาเพลิงของตนเสีย ? ”

ลำดับนั้นพระอุรุเวลากัสสป ได้สำเร็จอภิญญาฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วบรรลือสีหนาทประกาศก้องว่า “บัดนี้ข้าพเจ้ามีความเคารพเลื่อมใสในธรรมของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น” จากนั้นพระอุรุเวลากัสสปได้เหาะลงมาเพื่อทำประทักษิณ (เวียนขวาสามรอบ) แด่องค์พระบรมศาสดาแล้วก้มลงกราบแทบฝ่าพระบาท

มหาชนชาวกรุงราชคฤห์ได้สดับดังนั้นแล้ว เกิดอัศจรรย์ใจในพระเดชานุภาพของพระพุทธเจ้าที่สามารถเอาชนะพวกชฎิลฤาษีผู้มีฤทธิ์ได้ เห็นประจักษ์ถึงปานนี้ เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา มหาชนทั้งหลายจึงเงียบสงบลงฟังด้วยความเคารพในธรรม ปรากฎว่าพอสิ้นพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารและบริวาร ๑๑ ส่วน ณ ที่นั้นได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน บริวารอีกส่วนหนึ่งตั้งอยู่ในไตรสรณะคมน์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทูลเชิญเสด็จพระพุทธองค์ให้ประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ เพื่อเสวยภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ และกรุงราชคฤห์นี้เองเป็นแผ่นดินที่เกิดมีวัดอุบัตขึ้นเป็นแห่งแรกในบวรพุทธศาสนานามว่า “พระเวฬุวันมหาวิหาร” สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

จบแล้วครับหวังว่าคงได้ อรรถรสในการอ่านนะครับ ทุกคน

หากมีข้อมูลใดผิดพลาด อันจะเกิดเป็นโทษมีแก่พระพุทธศาสนา กระผมของดซึ่งโทษล่วงเิกินอันนั้น
เพื่อการสำรวมระวังใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในการต่อไป

No comments:

Post a Comment