Sunday, September 2, 2012

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๖


“ถึงเวลาแล้ว ตถาคตจะทำให้โมฆะบุรุษอุรุเวลากัสสปสลดจิต คิดสังเวชสำนึกผิด ณ กาลบัดนี้” จึงมีพุทธฎีกา ตรัสแก่อุรุเวลากัสสปว่า “ดูกร ชฎิล ตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ ซ้ำข้อปฎิบัติและปฎิปทาของท่านที่จะเป็นไปเพื่อทางมรรคผลนิพพานก็มิได้มีเลย ไฉนท่านจึงถือตนถือตัวว่าเป็นพระอรหันต์เล่า เป็นการไม่สมควรยิ่งนัก”

พระพุทธวัจนะของพระพุทธองค์นี้เปรียบเหมือนไฟอันร้อนแรงละลายขี้ผึ้ง ทำให้อุรุเวลาสั่นสะท้านเหมือนพิษไข้จับ ตลอดระยะเวลาที่พระพุทธองค์ทรงมาโปรด ให้บังเกิดความละอายใจเหลือที่จะประมาณ สันดานดื้อด้านอวดดีหายไปหมดสิ้น เข่าอ่อนยวบล้มตัวซบศรีษะแทบพระยุคลบาท อย่างหมอบราบคาบแก้วกราบทูลว่า “แจ่มแจ้งจริงหนอพระพุทธเจ้าข้า เปรียบเหมือนบุคคลเปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ บอกทางแก่คนหลงทาง จุดประทีปในที่มืดด้วยคิดว่าผู้มีดวงตาจะพึงเห็นรูปได้ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระพุทธองค์”

พระบรมศาสดาสัพพัญญูเจ้าตรัสว่า “ตัวท่านเป็นชฎิลมหาฤาษีใหญ่ยิ่งเป็นประธานแก่หมู่ชฎิล ๕๐๐ ท่านจงบอกกล่าวประกาศให้ยินยอมพร้อมใจกันก่อน พระตถาคตจึงให้อุปสมบทได้” อุรุเวลากัสสปก็ถวายบังคม แล้วกลับมายังอาศรมสำนักประกาศให้ชฎิลฤาษีบริวารทราบว่า

“ทางปฎิบัติลัทธิบูชาเพลิงที่เราพร่ำสอนพวกท่านมานั้น มีการบำเพ็ญตบะทรมานตนเป็นประการต่างๆ ยังห่างไกลจากมรรคผลนิพพาน บัดนี้เราได้เล็งเห็นแล้วว่า การบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระมหาสมณะพุทธโคตมะเท่านั้นเป็นทางถูกต้อง จะนำพวกเราหลุดพ้นจากกิเลส บรรลุถึงศิวโมกข์พระนิพพานได้”

ชฎิลบริวารทั้งหลาย หากสันนิษฐานตามเหตุการณ์ดังกล่าวมา คงจะนิยมเลื่อมใสในพระพุทธองค์อยู่เงียบๆ มาหลายเพลาแล้วเพียงแต่ไม่กล้าพูด เพราะเกรงใจอุรุเวลากัสสปพระอาจารย์ใหญ่ ครั้นอุรุเวลากัสสปมาเปิดอกเสียเอง มีหรือจะไม่ชื่นชมยินดี จึงพร้อมใจกันปลดเปลื้องเครื่องทรงชฎิลฤาษีและบริขารเครื่องใช้อื่นๆ เครื่องบูชาเพลิง หนังเสือ ฯลฯ โยนทิ้งลงไปในแม่น้ำเนรัญชลา จากนั้นก็พากันมาสู่สำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซบศรีษะลงแทบฝ่าพระบาททูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ก็ทรงพระกรุณาโปรดประทานอุปสมบทด้วย “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ความว่า ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิดธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งกองทุกข์ให้สิ้นเถิด บัดนั้นเครื่อนุ่งห่มสบงจีวรก็เลื่อนลอยมาจากนภากาศ ตกลงเฉพาะหน้าท่ามกลางเหล่าภิกษุพุทธสาวกแล (สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ผู้เขียนเองพิมพ์มาถึงตอนนี้ให้รู้สึกมีปีติอิ่มใจยิ่งนัก)

ฝ่าย นทีกัสสป ผู้เป็นน้องคนกลาง ซึ่งตั้งอาศรมสำนักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเดียวกัน แต่อยู่ถัดลงมาอีกตำบลหนึ่ง ห่างไกลจากกันไม่มากนัก มีศิษย์ ๓๐๐ คนเป็นบริวาร ได้เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงของชฎิลฤาษีผู้พี่ ลอยเป็นแพตามสายน้ำมาก็ครุ่นคิดปริวิตกว่า “ชะรอยอันตรายจะมีแก่ดาบสฤาษีผู้พี่ของเราแล้วกระมัง”

นทีกัสสปจึงพาเหล่าชฎิลฤาษีลูกศิษย์ทั้งสามร้อย เดินทางมายังสำนักอาศรมอุรุเวลากัสสปแล้วถามคาดคั้นถึงสาเหตุ อุรุเวลากัสสปจึงได้อธิบายเหตุกาลทั้งปวงมาโดยลำดับจนฤาษีผู้น้องเข้าใจโดยแจ่มแจ้ง แล้วเกิดความเลื่อมใสจึงพาเหล่าบริวารทั้งสามร้อย สละทิ้งเครื่องบริขารชฎิลฤาษีลอยทิ้งน้ำจนหมดสิ้น จากนั้นก็พากันไปถวายบังคมอัญชลีทูลขอบรรพชาอุปสมบท องค์พระบรมศาสดาก็ประทานให้อุปสมบทด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” แบบเดียวกันกับเหล่าภิกษุ อุรุเวลากัสสป แล...

No comments:

Post a Comment