Saturday, September 1, 2012

นิทานพญานาค "ที่เจดีย์ยุทธหัตถี"


ตอนหนึ่ง หลักศิลาจารึกกล่าวว่า "กูชนช้างกับเจ้าเมืองฉอด ชื่อขุนสามชนพ่ายไป" โดยเวลานั้นพ่อขุนรามคำแหงอายุได้ 19 พรรษา ได้ติดตามมาช่วยบิดาคือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ออกศึกชนช้างกับขุนสามชนพ่าย นับเวลาผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว

พอหลังจากการต่อสู้บนหลังช้าง แล้วก็มีการสร้างพระเจดีย์ไว้ เป็นอนุสรณ์สถานเรียกว่า "เจดีย์ยุทธหัตถี" เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แต่ไม่ปรากฎหลักฐานรายละเอียดอื่นใด ตั้งอยู่ที่วัดบรมธาตุ อ.บ้านตาก จ.ตาก สันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างในสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ประมาณปี พ.ศ. 2500 ปีนั้นได้เกิดพายุร้ายแรงพัดเอาฝนมาพร้อมกับลูกเห็บตก ประชาชนต้องตายนับร้อยชีวิต! แต่ข่าวสารสมัยนั้นยังไม่เหมือนสมัยนี้ การช่วยเหลือของทางราชการไม่มี อีกประการหนึ่งปีนั้นน้ำท่วมทั่วทุกแห่ง ทางเหนือเรียกกันว่า "น้ำนองหลวง"(น้ำท่วมใหญ่) หลวงตาอยู่ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ เล่าว่า...

ฝนตกหนักพายุพัดแรง 3 วัน 3 คืน สายฝนไม่มีขาดสาย กว่าจะเซาเบาลงไปก็แค่มองเห็นท้องฟ้าไม่เกิน 5 นาที มองไม่เห็นพื้นดินมีแต่น้ำเจิ่งนองมากขึ้นๆ ลานวัดก็เต็มไปด้วยผู้คน สัตว์เลี้ยง มีไก่ เป็ด หมา หมู วัว ควาย ลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้ระงม เหมือนว่ามีตลาดนัดก็ไม่ปาน

ค่ำคีนวันที่ 4 ของน้ำท่วมฝนตก สิ่งอัศจรรย์ที่คนไม่คิดมาก่อนก็เกิดขึ้น วันนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่าแล้ว เด็กเล็กเด็กโตผู้หญิง ผู้ชายหลับกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่อาตมากับอุบาสก 4-5 คนนั่งปรึกษาหารือกันว่า หลังจากน้ำลดแล้วจะทำอย่างไรกัน ? ถ้าน้ำไม่ลดจะทำอย่างไร ?

ขณะนั้นเองฟ้าร้องครืนๆ พร้อมกับมีประกายแสงเท่าลำตาลสีเขียวนวล ผ่าลงตรงหน้าวัดคือตรงเจดีย์ยุทธหัตถี พอเสียงฟ้าผ่าเงียบลง "คุณพระช่วย !" พญานาคตัวใหญ่เท่าต้นตาล 2 ตัวออกมาเล่นน้ำพ่นน้ำขึ้นฟ้า เลื้อยไปมาอย่างคึกคะนองอยู่กลางน้ำซึ่งกว่างเหมือนทะเลอย่างสนุกสนาน เห็นอยู่ประมาณ 10 นาที!

อุบาสกคนหนึ่งพูดว่า "น้ำคงจะแห้งยากมาก" หน้าโยมแต่ละคนซีดเผือดเหมือนไก่ต้ม ไม่มีใครกล้าคุยต่ออีก ได้แต่จ้องมองไปจุดเดียวกันกลางน้ำ หลวงตาอยู่มิได้ตอบว่าน้ำจะแห้งหรือไม่แห้ง มองหน้าโยมที่มาหารือด้วยสายตาคล้ายปฎิเสธ แต่ไม่มีเสียงพูดใดๆ

ฝนกับเสียงฟ้าร้องงวดแรกเบาลง พญานาคทั้งสองยังคงเล่นน้ำอย่างรื่นเริง สายฟ้าแลบมาอีกครั้งสว่างมากจนสังเกตุเห็นเกล็ดพญานาคชัดเจน เสียงเปรี้ยงฟาดลงมาอีกครังหนึ่ง เสียงผ่าคราวนี้ดังกว่าเก่าจนเด็กบางคนตกใจร้องไห้ดังลั่น แม่ต้องรีบโอบเข้ามาไว้กับอ้อมอก เด็กจึงเงียบเสียงไป

พอเสียงฟ้าผ่าเงียบเท่านั้นแหละ ก็มีเสียงเหมือนภูเขาถล่มทั้งลูก มีตัวอะไรไม่รู้ทะลึ่งพรวดออกมาจากถ้ำข้างเจดีย์ยุทธหัตถีใกล้กับสระบัวข้างเจดีย์นั้น ตัวใหญ่สีดำ ขนยาวลักษณะคล้ายคน ท่อนล่างมีเล็บมือแดง ส่วนท่อนหัวเหมือนควาย มีเขายาวโค้ง เขี้ยวแหลมคมยิ่งกว่าใบเลื่อย ตัวสูงเลยต้นตาล ใหญ่กว่านาค 2 ตัวเกือบ 4 เท่าวิ่งออกมากลางน้ำ สายตามองซ้ายขวาแล้วจ้องไปที่พญานาคทั้งสอง แล้วเหวี่ยงมือยักษ์ไปจับพญานาคมามือละข้าง ฟาดลงไปกับนำ้เสียงดังเปรี้ยงๆคล้ายอาฆาตพยาบาทกันมานับหมื่นนับพันปี

แต่งูนาคหายอมไม่ ! การต่อสู้เกิดขึ้นกลางน้ำลึกของท้องทุ่ง ผลัดกันจมนำ้ผลัดกันโผล่สลับกันไป อุบาสกที่กลัวก็กลายเป็นกองเชียร์แต่ไม่กล้าออกเสียง ยินเสียงนาฬิกาที่่กุฎีดังขึ้นสิบสองครั้งบอกเวลาเที่ยงคืนพอดี การต่อสู้ของสัตว์ประหลาดเริ่มล้าลง เจ้ามนุษย์หิงสาก็ได้ทีจับหัวพญานาคมากัดกร๊วบๆ สองครั้ง ขาดเป็นสี่ท่อน เลืือดสีแดงเต็มท้องน้ำ แล้วฝนก็ตกธรรมดา ลมพัดเอื่อยๆ ท่านผู้ชมก็หายตะลึง หลวงตาถามต่อว่า "เห็นหรือยังว่าน้ำจะแห้งหรือจะท่วม"พวกอุบาสกไม่มีใครตอบ หลวงตาอยู่ก็ตอบเองว่า

อาตมาว่าน้ำต้องแห้ง เพราะมีผู้มาช่วยแล้ว ถ้าขาดผู้ช่วยปล่อยให้พญานาคเล่นน้ำอย่างนี้ทุกวัน ปีหน้าโน่นแหละน้ำถึงจะแห้ง...วันต่อมาน้ำลดลงเรื่อยๆส่วนฝนก็หยุดตก ที่หลวงตาพูดเช่นนี้เพราะก่อนจะเกิดอาเพศขึ้น มีพวกไหนไม่ทราบสังกัด เป็นผู้ชายแต่งตัวชุดขาวไว้ผมจุกคล้ายพราหมณ์ มาทำพิธีเรียกผีอยู่ข้างเจดียย์แห่งนี้ ใช้มนต์ดำเรียกวิญญาณเพื่อบังคับเจ้าที่ให้นำ "เรือหงส์ทองคำมาให้" (ซึ่งงดงามมาก ส่วนมากจะลอยขึ้นมาเหนือสระบัวในวันพระสำคัญ หรือวันพระจันทร์เต็มดวง)

วันแรกพราหมณ์ผู้ละโมบเรียกแต่ยังไม่ขึ้น ต่อมาวันที่ 2 ต้องขึ้นแน่ๆ หลวงตาอยู่เห็นไม่ได้การแล้ว จึงบอกให้ผู้ใหญ่บ้านทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ชาวบ้านพร้อมใจกันขับไล่คณะผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ในคืนที่สองพอดี พธีของพราหมณ์แตกแล้วเหตุร้ายก็เกิดขึ้น

ในวาระต่อมา ประตูถ้ำข้างเจดีย์ก็ปิดสนิทตั้งแต่มหิงสามนุษย์ออกไป บริเวณพระเจดีย์มีของแปลกๆ มีดินปูดขึ้นมาคล้ายจอมปลวกแต่ไม่มีปลวก หลวงตาอยู่ได้สร้างกุฎิทับไว้ ว่ากันว่าเป็นสมบัติใต้ดิน อยากออกมาให้คนเห็น หรือเป็นการแสดงอิทธิฤิทธิ์อภินิหารประการใดก็ไม่ทราบแน่

อีกประการหนึ่ง ในสมัยก่อนนั้นถ้ำแห่งนี้มีประตูเปิดไว้เสมอ ใครมีงานบวชงานแต่งสามารถยืมถ้วยโถโอชาม ตลอดจนเครื่องแต่งกายเครื่องประดับมาใช้ได้ เมื่อเสร็จงานแล้วก็ซักล้างนำไปส่งคืน ไม่เห็นมีใครถือเอาเป็นสมบัติส่วนตัวเลย

มาในยุคหลังมีคนยืมแล้วไม่ส่งคืนของก็เลยหมดไป ประตูถ้ำก็ปิดตัวลงด้าย์วยดินพังทับถมจนไม่มีร่องรอยให้เห็น นี่ถ้าความซื่อสัตย์ยังอยู่ในดวงใจของมนุษย์ ้ำถ้ำก็คงจะเปิดมาถึงวันนี้เทียว เพราะกิเลสตัณหาแรงกว่าคุณธรรม ธรรมชาติจึงต้องปิดตัวลงไปเอง แล้วปล่อยให้คนแย่งกันทำมาหากินสืบต่อไป.

ที่ได้รับรู้มานี้เป็นเรื่องราวอันชวนให้พิศวงของสถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งยังมีมนต์ขลังให้คนทั้งหลายได้ไปเยี่ยมชมและพิสูจน์ในความจริงที่เล่าลือกันมานานแสนนานนี้ ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวเมืองตากมาจนตราบเท่าทุกวันนี้.

จบแล้วครับ หวังว่าทุกท่านคงสนุกในการอ่านนะครับ

No comments:

Post a Comment