Sunday, September 2, 2012

พญานาคอันธพาล กับชฎิลฤาษี ๓ พี่น้อง ตอนที่ ๑


อ้างอิง พระนิพนธ์ของ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
ตอนที่ ๑
ในกาลครั้งนั้น ยังมีชฎิล ๓ คนพี่น้องเกิดในตระกูลกัสสป พี่คนโตมีนามว่า อุรุเวลากัสสป น้องคนที่ ๒ มีนามว่า นทีกัสสป น้องคนที่ ๓ มีนามว่า คยากัสสป อาศัยอยู่ในอุรุเวลาประเทศ ทั้งสามต่างก็มีสาวกบริวารคนละพวกแยกกันอยู่ห่างๆ เป็น ๓ ตำบล
อุรุเวลากัสสป ผู้เป็นพี่ใหญ่มีหมู่ศิษย์อยู่ ๕๐๐ คนสร้างสำนักอาศรมศาลาอยู่บริเวณต้นแม่น้ำเนรัญชลา
นทีกัสสป น้องคนที่ ๒ มีศิษย์อยู่ ๓๐๐ คนสร้างอาศรมสำนักอยู่แถบฝั่งทิศใต้ลงไป
คยากัสสป น้องคนสุดท้องมีศิษย์ ๒๐๐ คนสร้างบรรณศาลาอาศรมสถานอยู่ที่คุ้มแม่น้ำใต้ลงไปอีก
ลำดับนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังสำนักอาศรมของอุรุเวลากัสสปชฎิลฤาษี ตรัสกับท่านเจ้าสำนักผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ยิ่งว่า “ดูกร กัสสป ผิว่าท่านมิได้หนักใจ ตถาคตจะขอพักอาศัยอยู่ในโรงเพลิง (เรือนไฟ) ของท่านสักราตรีหนึ่ง”

อุรุเวลากัสสป เจ้าสำนักตอบว่า “ดูกร มหาสมณะเรามิได้หนักใจที่ท่านจะมาขออาศัยอยู่ ณ ที่นั้นเลย แต่ทว่ามีพญานาคตนหนึ่งมีพิษร้ายกาจยิ่งนัก มาอาศัยอยู่ในโรงเพลิงนั้น ท่านจงระวังอย่าให้พญานาคตนนั้นทำอันตรายแก่ท่านได้”

สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า มีพุทธฎีกาตรัสว่า “พญานาคนั้นจักมิได้เบียดเบียนกระทำอันตรายแก่เราคถาคต ท่านจงอนุญาตให้ตถาคตได้อยู่อาศัยในโรงเพลิงสักราตรีหนึ่งเถิด”

อุรุเวลากัสสปเกรงว่ามหาสมณะเจ้าผู้มาเยือนจะได้รับภัยอันตรายจากพิษร้ายของพญานาค ก็นิ่งอึ้งไปไม่กล้าอนุญาตให้เข้าพัก พระพุทธองค์ได้ตรัสย้ำอีกอย่างนั้น ๒-๓ ครั้ง อุรุเวลากัสสปไม่มีทางเลือก จึงจำใจอนุญาตให้เข้าพักได้ตามพระอัธยาศัย

มีปราชญ์ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า อุรุเวลากัสสปคงจะมีวิชามนต์ปราบงูพิษ อันเป็นวิชาของพวกหมองูในชมพูทวีป เช่น “มนต์อาลัมพายนะ” เป็นต้น จึงสามารถเลี้ยงอสรพิษหรือพญานาคไว้ในโรงเพลิง เพื่อเสริมสร้างบารมีของตน

มนต์อาลัมพายนะ เป็นมนต์วิเศษของพญาครุฑ ได้ถวายให้แก่ฤาษีโกสิยโคตร และท่านฤาษีรูปนี้ก็ได้มอบประสิทธิ์ให้แก่พราหมณ์คนหนึ่ง พราหมณ์ผู้นี้แหละที่ใช้มนต์บทนี้จับเอาพญานาค มหาโพธิสัตว์เจ้าภูริทัต ไปแสดงให้คนดูชมหาเงินเข้ากระเป๋าตน (จากเรื่องพญานาคภูริทัตโพธิสัตว์เจ้า ทศชาติชาดก)

เมื่ออุรุเวลากัสสปอนุญาตแล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จเข้าไปในโรงเพลิงแห่งนั้น ปูลาดสันถัตที่นั้งแล้วทรงนั้งเจริญสมาธิตั้งพระกายให้ตรง ดำรงพระสติเฉพาะหน้าต่อบท กรรมฐานภาวนานุโยคด้วยพระอาการอันสงบสำรวมน่าเลื่อมใส

ฝ่ายพญานาคที่อาศัยอยู่ในโรงเพลิง เมื่อเห็นสมเด็จพระพุทธจอมมุนีนาถ เสด็จเข้ามาพำนักในสถานที่ของตน ก็เกิดความไม่พอใจขุ่นเคืองยิ่งนัก ว่าพระพุทธองค์มาเบียดเบียนที่อยู่อาศัยทำให้เราไม่มีอิสระเสรีในที่อยู่ จึงสำแดงฤทธิ์บังหวน (เข้าใจว่าจะใช้ลมหายใจพ่นพิษ) ให้พิษร้ายตลบอบอวลไปทั่วโรงเพลิง พิษร้ายกาจนี้สามารถย่อยสลายมนุษย์และสัตว์ให้กลายเป็นอากาศธาตุได้ในชั่วพริบตา !

ลำดับนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าก็ทรงเข้า “กสิณไฟ” หรือ “เตโชกสิณสมาบัติ” ประมวลเอาอิทธาภิสังขารฤทธิ์ บันดาลให้เกิดเปลวเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการ ลุกท่วมโลงเพลิงนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก...

No comments:

Post a Comment